วันศุกร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2560

เส้นบะหมี่สไตล์ญี่ปุ่น

เส้นบะหมี่สไตล์ญี่ปุ่น ที่มักเสริฟ์พร้อมน้ำซุปรสกลมกล่อม ใครลิ้มลองต้องร้อง "สุโค่ย" มีมากมายหลายรสชาติ หลายเส้น เรามารู้จักสารพัดเส้นญี่ปุ่นกันเถอะ

วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2559

สูตรอาหารและธรรมชาติบำบัด

สูตรอาหาร :
ล้างระบบดูดซึม
1. นมสด โยเกร์ต น้ำผึ้ง มะนาว : ใช้โยเกิร์ตชนิดจืดครึ่งถ้วย ผสมนมสดชนิดจืด 1 กล่อง เติมน้ำผึ้ง 2 ช้อนชา และ บีบมะนาว 2 ลูก   คนให้เข้ากัน ทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วค่อยดื่ม
คุณสมบัติ : ให้วิตามิน B บำรุงสมอง วิตามิน C เพิ่มภูมิต้านทาน, จุลินทรีย์ตัวดีช่วยย่อย,  นมสดให้แคลเซียม
2. บอระเพ็ดยาว 1 เกียก (กางนิ้วชี้ให้ห่างจากหัวแม่โป้งที่สุด แล้ววัดความยาวระหว่างปลายนิ้วชี้ กับ ปลายนิ้วโป้ง) ต้มน้ำ ดื่มแต่น้ำ บอระเพ็ดล้างไขมัน บำรุงถุงน้ำดี
3. ดีบัว ต้มน้ำ ดื่มแต่น้ำ
4. ชามะละกอ : มะละกอดิบ ที่ใช้ตำส้มตำ นำมาหั่นเป็นชิ้นเหมือนชิ้นฟัก  ประมาณ 6-8 ชิ้นต่อน้ำ 2 ลิตร จะขาดจะเกิน ไม่ผิด (ถ้าใส่มากเกินไปจะทำให้บูดง่าย มะละกอดิบที่เหลือ ใส่ตู้เย็นเก็บไว้ใช้ได้ในครั้งต่อไป)  และ ใบเตย หรือ เก๊กฮวย อย่างใดอย่างนึง กะเอง    ต้มในน้ำ จนเดือด  พอเดือดได้ประมาณ 1 นาที ปิดไฟทันที อย่าต้มต่อ  ให้เอามะละกอ กับ ใบเตยทิ้ง (อย่าปล่อยให้มะละกอเดือดจนเละ) แล้วใส่ใบชา ลงไปแช่ประมาณ 4 นาที ห้ามแช่นานกว่า 4 นาทีเพราะสารแทนนินจะออกมา ทำให้ท้องผูก  แล้วตักใบชาทิ้ง   จะได้น้ำชามะละกอ  ดื่มร้อน หรือ เย็นได้    น้ำชาที่เหลือให้แช่ตู้เย็น เก็บไว้ได้ประมาณ 2 วัน  เกินกว่านั้นจะบูด  (ยางมะละกอล้างไขมัน, ใบเตยให้ความสดชื่น, ชาดับกลิ่นมะละกอ) ชมวิดิโอสาธิตการต้มชามะละกอได้ ข้างล่าง หรือ กดที่นี่
5. ไวทาไลท์ สมุนไพรสกัดสูตรจีน : รากหญ้าคา เก๋ากี๊ (บำรุงตับ) เก๊กฮวย (บำรุงหัวใจ) ดอกคามิลเลีย 1 pack มี 10 ซอง 1 ซอง ชงกับน้ำ 1-2 ลิตร แล้วเก็บไว้ในตู้เย็น ใช้ดื่มวันละ 4-6 แก้ว
6. ข้าวต้มยางมะละกอ : มะละกอดิบ หั่นเป็นชิ้น ๆ ชิ้นละประมาณ 1 ข้อของนิ้วมือ ไม่ต้องปอกเปลือก ครึ่งลูกต่อน้ำประมาณ 2 ลิตร ต้มในหม้อ เมื่อเดือดแล้ว เคี่ยวต่อ จนมะละกอเละ เมื่อเละแล้ว ให้ช้อนมะละกอทิ้ง เหลือน้ำไว้   น้ำนั้นคือ น้ำยางมะละกอ นำน้ำยางมะละกอ มาหุงกับข้าวกล้อง ควรจะใส่ใบเตยหุงไปด้วย เพื่อความสดชื่น จะใช้น้ำเท่าไหร่ ให้กะเอากับจำนวนข้าวกล้อง กะให้หุงมาเป็นข้าวต้ม ไม่ใช่แห้งเป็นข้าวสวย น้ำยางมะละกอที่เหลือ แช่ตู้เย็นเก็บไว้ก่อน ห้ามใช้ข้าวขาว เพราะข้าวกล้อง จะมีสารไปลดพิษจากยางมะละกอ หุงกับข้าวกล้อง ให้กลายเป็นข้าวต้ม เมื่อได้ข้าวต้มยางมะละกอแล้ว ทานติดกัน 10-14 วัน ทุกมื้อ แทนข้าว  ทานกับกับข้าวปกติ ช่วยล้างระบบดูดซึม ล้างไขมัน และ น้ำตาลในเลือด ลดกรดยูริค
กำจัดไวรัส
1. เม็ดมะรุมตากแห้ง แกะเปลือกแล้วทานเม็ดข้างใน วันละ 5-30 เม็ด เป็นเวลา 7-40 วัน แล้วแต่คำแนะนำของนักประเมินสุขภาพ
2. ข้าวต้มแครอท ป้องกันไวรัส (ไม่ได้กำจัด) ทานช่วงฤดูหนาว นำแครอทหั่นเป็นชิ้นเล็ก ต้มกับข้าว ทานเป็นข้าวต้ม ป้องกันไวรัส
แก้คัดจมูก ภูมิแพ้
1. ใบยอเผา ปิ้ง ยำ หรือใส่ในห่อหมก แก้ไอ คัดจมูก
2. เนยใส (Ghee) ชุบสำลี แยงจมูกให้ลึกที่สุด แก้คัดจมูก และ ภูมิแพ้ ฆ่าเชื้อในโพรงจมูก
3. ชามะละกอ ล้างไขมันในลำไส้ แก้ภูมิแพ้
4.ไวทาไลท์ ดื่มวันละ 1 ซอง รักษาภูมิแพ้ เจ็บคอ ร้อนใน
ล้างเชื้อรา
1. กินผักเมือก ๆ เช่น ผักบุ้งแดง, กระเจี๊ยบเขียว, ผักปรัง, บวบ, น้ำเต้า, เม็ดแมงลัก, ใบมะรุม เป็นต้น เมือก(เพคติน)จะไปล้างเชื้อราในระบบดูดซึมออกมา
2. ใบย่าน่าง ปั่น หรือ คั้นน้ำ ทานแต่น้ำ
3. อัลฟ่า 20 ซี สมุนไพรสกัดแบบเม็ด สร้างเม็ดเลือดขาว ล้างเขื้อรา
*ผู้ที่มีเชื้อรา ต้องงด อาหารหวาน และ ผลไม้,โปรตีนจากเนื้อสัตว์, ถั่วแห้ง เช่น ถั่วลิสง, งา
ถ่ายพยาธ
1. เม็ดมะรุม วันละ 7 เม็ดขึ้นไป, น้ำมันมะรุม ทานไล่พยาธิ
2. กระเจียบเขียว 7 กำมือของผู้ป่วย ทานให้หมดภายใน 3 วัน ไล่พยาธิตัวจี๊ด และ อื่น ๆ
3. ยาถ่ายพยาธิทั่วไป ปรึกษาเภสัชกรประจำร้าน
4. เนื้อลูกยอ ช่วยขับพยาธิ
5. พยาธิผิวหนัง / ตัวจี๊ด ใช้ Sun Smile สมุนไพรสกัดจาก แป้งข้าวโพด น้ำมันมะพร้าว หยดในน้ำดื่ม
ชมคลิป สาธิตการแช่ผักใน Sunsmile เปรียบเทียบกับการแช่ในน้ำเปล่า… Sunsmile ให้ความสดกับผักได้มากกว่า
6. ใบข่า ซอย 2 ใบ ต่อ วัน 5-7 วัน
ึ7. พยาธิใบไม้ในตับ, พยาธิตัวแบน ทานเมล็ดฟักทอง วันละ 200-400 เมล็ด ติดกัน 30 วัน ทานเวลาท้องว่าง (แนะนำว่า นำเมล็ดฟักทองไปปั่นกับนม แล้วเติมน้ำผึ้ง เพื่อให้ทานง่ายขึ้น)
ล้างอุจจาระตกค้าง
1. เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา ผสมน้ำ 1 แก้ว ทิ้งไว้ 30 นาที ดื่มก่อนนอน เม็ดแมงลักจะลากอุจจาระตกค้างออกมา  ทานเป็นปกติได้ทุกวัน หรือ 3-4 วันต่อสัปดาห์ แล้วแต่สมควร
2. นมสด 2 กล่อง (รวมจะได้ประมาณ 500 มิลลิตร) และ กล้วยน้ำว้า 2 ลูก ทานก่อน 6 โมงเช้า
3. ทานผักบุ้งแดง 2 กำมือ ผัด หรือ ต้ม ทำอาหารตามใจชอบ ผักบุ้งจะลากอุจจาระตกค้างออกมา
4. กระเจี๊ยบเขียว ทานวิธีใดก็ได้ 4-7 ฝักต่อวัน
5. โซดา 1 ขวด ผสมนมข้มหวาน 6 ช้อนโต๊ะ
รักษานิ่วในไต
1. เหล้าขาว หรือ Vodka 1 ก๊ง (2 ช้อนโต๊ะ) ผมมน้ำมะนาว 1 ลูก ทานก่อนนอนทุกวัน เป็นเวลา 10 วัน
2. แกนสับปะรด 3 ลูก กินเฉพาะแกน หรือ เอาแกนไปต้มน้ำพอประมาณ ทานเป็นเวลา 5-10วัน
3. น้ำมะพร้าวอ่อน แกว่งด้วยสารส้ม ดื่มวันละ 1 ครั้ง จนกว่านิ่วจะหลุด
บำรุงไต1. ของสีดำตามธรรมชาติ ทุกชนิด เช่น ถั่วดำ, ข้าวเหนียวดำ, เห็นหูหนูดำ, เฉาก๊วย, งาดำ เป็นต้น
2. หน่อไม้ดอง
3. เม็ดบัว
4. ไขเยี่ยวม้า
5. น้ำฟักทอง
6. เห็ดหูหนูดำ ต้มกับหญ้าหวาน ใส่น้ำตาลกรวด ช่วยบำรุงกำลัง บำรุงสมอง ดีต่อปอด ไต ม้าม
แต่อย่ากินตอนเย็น เพราะจะเย็นเกินไป บำรุงปอด
1. พืช ผัก ธัญพืช ที่มีสีขาวโดยธรรมชาติ บำรุงปอด เช่น ถั่วขาว, เห็ดหูหนูขาว เป็นต้น
2. น้ำสำรอง ทานก่อนตีห้า บำรุงปอด
3. หัวต้นหอมดีกับปอด หางกินแล้วเย็น
4. ข้าวเหนียว 2 ส่วน ต้มกับลำไยแห้ง 1 ส่วน ใส่น้ำมากๆ กินบำรุง ปอด หัวใจ ตับ
บำรุงตับ
1. ขมิ้นชัน ทานก่อนนอน
2. ถั่วเขียว บำรุงตับ
3. ชาแคลลี่ ดื่มก่อนนอน ช่วยตับขับสารพิษ
4. ลูกเดือยต้มกับถั่วขาว ถั่วขาว 1 ส่วน ลูกเดือย 2 ส่วน ต้มน้ำ 20 เท่า กินแต่น้ำ บำรุงตับ
บำรุงกล้ามเนื้อหัวใจ
1. ผักสด ผลไม้สด ทุกชนิด (กล้วย ส้ม ขนุน มีโปตัสเซียมมาก) และเนื้อหมู
2. งด ถั่ว ข้าวเหนียว ของดอง เต้าหู้ เพราะมีโซเดียมเยอะจะไปทำร้ายกล้ามเนื้อหัวใจ
3. ใบเตย ต้มน้ำ ทานแต่น้ำ
4. ถั่วแดง บำรุงหัวใจ
บำรุงเยื่อหุ้มหัวใจ
1. ถั่ว ข้าวเหนียว ของดอง เต้าหู้ ไข่เยี่ยวม้า มีโซเดียมสูง บำรุงเยื้อหุ้มหัวใจ
2. งด ผลไม้สด และ ผักสด เนื้อหมู ซึ่งมีโปตัสเซียมสูง จะไปทำร้ายเยื่อหุ้มหัวใจ
ละลายลิ่มเลือด แก้ช้ำใน
1. เหล้าขาว หรือ Vodka 2 ช้อนโต๊ะ ผสม น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ วันละครั้ง ดื่ม 3-7 วัน แล้วแต่อาการ
2. นมสด 1 แก้ว  ชมิ้นชัน 1 ช้อนโต๊ะ เนยใส 1 ช้อนโต๊ะ (หรือ น้ำมันมะรุม1 ช้อนโต๊ะ แทนเนยใส หรือ น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ หรือ น้ำมันขิง 1 ช้อนโต๊ะ แทนเนยใส )คนให้เข้ากัน ทานติดกัน 5-10 วัน แล้วแต่อาการ
3.โยเกิร์ตรสจืด 1 ถ้วย ผสมน้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ ทาน 5-7 วัน
4. สมุนไพรสกัด แดนดิไลน์ ควบคู่กับ แอลสตรีม
ล้างสารพิษ
1. ระดับต่ำ เห็ดสามอย่าง ต้มน้ำ ดื่มน้ำที่ต้มได้ หรือ นำเห็ดสามอย่างไปทำอาหาร
2. ระดับกลาง ข้าวต้มถั่วเขียว  (ข้าวสาร ๑ ส่วน ถั่วเขียว ๑ ส่วน ต้มกับน้ำจนกลายเป็นข้าวต้ม ที่สำคัญสูตรนี้ต้องต้มในหม้อดินหรือหม้อกระเบื้องเคลือบเท่านั้น เพราะถ้าใช้หม้อโลหะ มันก็จะไปดึงสารพิษจากโลหะกลับเข้ามาอีก)
3. ระดับสูง ต้นจางจืด (คนละชนิดกับรางจืด อาจจะหายากสักหน่อย แต่พอมีขายตามร้านขายยาไทย เช่น เจ้ากรมเป๋อ) ลักษณะเป็นไม้แห้ง หั่นเป็นแว่นๆ ใช้สัก ๓-๔ แว่นต้มกับน้ำ ๑ ลิตร (ต้มในหม้อดิน) ดื่มน้ำล้างพิษ ๗-๑๐ วัน
หรือจะใช้ ต้นเหงือกปลาหมอ (งงหนักขึ้นไปอีก) อันนี้ต้องเฉพาะพื้นที่ (ตามป่าชายเลนจะพอมี) ถ้าใช้สดมาสับๆ ให้ละเอียด ๑ ขีด (ถ้าแบบแห้งก็แค่ ๑/๒ ขีด) ต้มกับน้ำ ๑ ลิตร (ต้มในหม้อดิน) ดื่มน้ำล้างพิษ ๑๐ วัน
ง่ายกว่านั้นแต่ต้องใช้ตังค์เยอะหน่อย คือ ใช้ ชาแคลรี่ (CALLI) ของซันไรเดอร์  ชงดื่มวันละ ๑-๒ ซอง ล้างพิษระดับนี้ได้ชะงัดนัก
4. ผักบุ้งแดง ๑ กำมือ ต้มกับน้ำ ๑ ลิตร เติมน้ำตาลทรายแดง ๕ ช้อนโต๊ะ (ต้มในหม้อดิน) กินน้ำล้างพิษ สัก ๑๐-๓๐วัน
ลดความอ้วนจากการบวมน้ำ
ฟักเขียว ต้มกับ ข้าวสาร อย่างละเท่ากัน
ลดความอ้วน (ควรใช้ 2 สูตรนี้ ควบคู่กันไป)
พุทราจีน 7 ลูก ต้มกับขิง 1 หัวแม่มือ ดื่มแล้ว ต้องออกกำลังกาย เช่น เดิน, แกว่งแขน สูตรนี้จะขับเหงื่อ เผาผลาญไขมัน ลดความอ้วน เผาผลาญของเก่า
ข้าวต้มลูกเดือย ป้องกันไขมันใหม่
สะเก็ดเลือด
1. นม 1 กล่อง + ขมิ้นชัน 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน ดื่มจนกว่าอาการจะหาย
2. โยเกิร์ต + น้ำมัน 1 ช้อนโต๊ะ (ขิง ข่า งา มะพร้าว) คนให้เข้ากัน ดื่มจนกว่าอาการจะหาย
3.อ้อยดำ อ้อยแดง สับ ๆ 7 ปล้อง ต้มน้ำดื่ม ดื่มจนกว่าอาการจะหาย
4.มะขามคลุกข่า ใส่เกลือสมัยใหม่+ผงชะเอมหรือผงบ๊วย ทานจนกว่าอาการจะหาย
5. สมุนไพรสกัด แดนดิไลน์ ควบคู่กับ แอลสตรีม
ล้างสารพิษตกค้าง, ไทรอยด์เป็นพิษ, เนื้องอก
1. เห็ด 3 อย่าง ใช้เห็ดที่ทานได้ (ไม่มีพิษ) ชนิดใดก็ได้ ต้มรวมกันไม่น้อยกว่า 3 ชนิด แล้วทานน้ำ จะช่วย บำรังตับ และ ขจัดสารพิษ สลายพังผืดในมดลูก ลดอนุมูลอิสระ ลด cell มะเร็ง  เพิ่มโลหิตขาว ลดไขมันในเลือด แก้ภูมิแพ้
2. ชาแคลลี่ สมุนไพรสกัด ล้างสารพิษตกค้าง
3. เนื้อลูกยอ ทานในฤดูหนาว ล้างพิษ
4. น้ำต้ม ใบรางจืด กับ ใบเตย กะสัดส่วนเอง ทานล้างสารเคมีตกค้างจากยาฝรั่ง  ล้างกรดยูริก
ริดสีดวงทวาร
สูตรแผนจีน กล้วยหอมทั้งเปลือก ฝานลงต้มกับน้ำตาลทรายแดง ทานทั้งน้ำทั้งเนื้อ
ลดไขมันในเลือด
1. กระเจี๊ยบแดง+พุทราจีน อย่างละเท่ากัน  ต้ม   ใส่น้ำเท่าไหร่ ให้กะเอง    ใส่น้ำตาลทรายแดงนิดหน่อย  ต้มแล้วเก็บไว้ในตู้เย็น ดื่มทุกวัน ดื่มมากน้อยเท่าไหร่ แล้วแต่พอใจ  ไม่มีอันตราย   สูตรนี้ยังช่วยลดหินปูนในเลือด ลดหินปูนในสมอง  บำรุงเยื่อหุ้มหัวใจ แต่ไม่เหมาะกับคนที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจ
* น้ำกระเจี๊ยบแดงอย่างเดียว ที่ไม่ใส่พุทราจีน ทานมากจะมีผลต่อไต ไตจะเสื่อม  ต้องใส่พุทราจีนด้วยจึงครบสูตร ทานได้ทุกวัน
2. มะละกอปลอกเปลือก ต้มในน้ำแกง หรือแกงส้ม ทานได้ทั้งน้ำและเนื้อ ลดไขมันในเลือด
3. มะเขือทุกชนิด มะเขือเทศ มะเขือเปราะ มะเขือพวง มะเขือยาว เป็นต้น
4. กะทิ และ ไข่แดง มี HDL Cholesterol ซึ่งเป็นไขมันตัวดี มีประโยชน์ ช่วบลด LDL Cholesterol (ไขมันตัวร้าย) ฉะนั้น ควรทาน กะทิ และ ไข่แดงเป็นประจำ
5. สะเดา ลวกสุก ทานล้างไขมัน ไม่ควรทานทุกวัน เพราะจะทำให้ปวดเมื่อยเนื้อตัว
ลดความอ้วน ลดไขมันสะสม
1. ทานมันเทศสีเหลือง หรือ บุก หรือ ฮ่วยซัว ระหว่าง 0900-1100 น. ช่วยอุ้มไขมันไปทิ้ง
2. เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา ผสมน้ำ 1 แก้ว ทานก่อนนอน หรือ ทานน้ำสำรองเป็นประจำ
3. ไวทาไลท์ 1 ซอง ผสมน้ำ 1 ลิตร ดื่มให้หมดภายใน 1 วัน ดื่มติดกันจนกว่าจะได้น้ำหนักที่พอใจ
4. แกงบอน ช่วยลดความชื้นในร่างกาย ปอดชื้น ไตชื้น ม้ามชื้น ลดความอ้วน

ขยายหลอดเลือด

1. หน่อไม้ ต้มกับใบย่านาง (หรือซุปหน่อไม้) ใบย่านางจะล้างพิษของหน่อไม้ สูตรนี้ช่วยขยายหลอดเลือด
2. กุ๊ยช่าย ลดความดัน ฟอกเลือด

ลดน้ำตาลในเลือด รักษาเบาหวาน

1. น้ำต้มใบมะยม หรือ หญ้าหวาน หรือ อบเชย หรือ รากเตย
2. ซันนี่ดิว สมุนไพรสกัดจากหญ้าหวาน
3. สูตร อ.จัสติน รากเตยหอม ผสม กับ อบเชย ต้มน้ำดื่ม ดื่ม ตอน 9 นาฬิกา วันละ 1 แก้ว
4. ว่านรางจืด ช่วยล้างพิษจากน้ำตาลในเลือด
5. ใบมะรุม
โรคปอดหรือหอบหืด
ขิงเท่าหัวแม่มือของผู้ป่วย หอมแดงเท่าขิง กระเทียมเท่าขิง ปั่นหรือตำเติมน้ำ 1 แก้ว กรองเอาแต่น้ำ ใส่น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ บีบมะนาว 3-4 ลูก ไม่เกิน 1 เดือน
กระเพาะอาหาร, กรดในกระเพาะ
1. ขมิ้นชัน 5-7 เม็ด ทานระหว่าง 0700-0900 เช้า บำรุงกระเพาะอาหาร
2. Assimilaid สมุนไพรสกัด บำรุงกระเพาะ
3. กระเจี๊ยบเขียว 3-5 ฝัก เมือกเพคติน สมานแผลในกระเพาะ
บำรุงม้าม
1. ถั่วเหลือง หรือ มันเทศสีเหลือง หรือ ขมิ้นชันทานเวลา 0900-1100 น.บำรุงม้าม
2. อัลฟ่า 20 ซี สมุนไพรสกัด ทานเวลา 0900-1100 น. บำรุงม้ามให้ผลิตเม็ดเลือดขาว สร้างภูมิคุ้มกัน แก้น้ำเหลืองเสีย ป้องกันงูสวัด
3. ดอกอัญชัญต้มน้ำ ทานน้ำ บำรุงม้าม ช่วยให้น้ำเหลืองดี
แก้ปวดข้อ
1. ลูกเดือยต้ม ทานเนิ้อแทนข้าว 7 วัน รวม 21 มื้อ แต่ละมื้อ ต้องมีลูกเดือยในสัดส่วนมากกว่า 70% ของมื้อนั้น
2. ใบยอ นึ่ง คั้นน้ำ หรือปั่น กินแก้ปวดข้อ ไม่ควรกินสดเพราะมีสารพิษ
3. กากกระชายที่ได้จากการปั่น ใช้ผสมเหล้ากับน้ำตาลทราย พอกเข่าแก้ปวดได้
4. น้ำต้ม ใบรางจืด กับ ใบเตย กะสัดส่วนเอง ทานล้างสารเคมีตกค้างจากยาฝรั่ง  ล้างกรดยูริก
ปรับความดันให้สมดุลย์
1. น้ำกระชายปั่น : กระชายล้าง ไม่ต้องปอกเปลือก 1 ขีด น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ มะนาว 2 ลูก
ล้างกระชายให้สะอาด ปั่นให้ละเอียด เติมน้ำสะอาดลงไป 2 แก้ว กรองเอาแต่น้ำ ใส่น้ำผึ้งและน้ำมะนาวลงไป ผสมปรุงรสตามใจชอบได้
– บำรุงกระดูก (เพราะมี แคลเซียม สูง)
– บำรุงสมอง เพราะทำให้เลือดเลี้ยง สมองส่วนกลาง ดีขึ้น
– ปรับสมดุลของ ฮอร์โมน
– ปรับสมดุลของ ความดันโลหิต ( ความดันโลหิตสูงจะลดลง ความดันโลหิตต่ำ จะสูงขึ้น
– แก้ โรคไต ทำให้ ไต ทำงานดีขึ้น
– ป้องกัน ไทรอยด์ เป็นพิษ
– บำรุง มดลูก
– แก้ปัญหา ผมหงอก ผมร่วง
– อาการ กระเพาะปัสสาวะ เกร็ง (กรณีนี้อาจใช้ เม็ดบัว ต้มกิน)
– ควบคุมไม่ให้ ต่อมลูกหมาก โต
– แก้ปัญหา ไส้เลื่อน
*กระชายมีฤทธิ์ร้อน หากรู้สึกร้อนใน ให้ลดจำนวนลง
เพิ่มเม็ดเลือด
1. สัปปะรดกับใบโหระพา-ปั่นสด กรอง ทานแต่น้ำ, ผักชีปั่นกับสับปะรด ทานน้ำ, ใบยอ ปั่นกับสับปะรด เพิ่มเม็ด
2. ใบเตย ต้มกับใบมะนาว, ใบเตยต้มกับแก่นขนุน
3. ใบขี้เหล็ก กินสุก เช่น แกงขี้เหล็ก ห้ามกินดิบ เพราะมีสารพิษ
4. สมาธิบำบัด โดย กสิณสีแดง
เพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen)
1.น้ำมะม่วงสุก / มะม่วงกวนต้มกับน้ำมะขาม / น้ำมะพร้าวอ่อน (ห้ามทานเนื้อ) /น้ำมะเฟือง / ผักกุ๊ยช่าย/ หอยแมงภู่แห้ง / ปลิงทะเล/ ว่านชักมดลูก(ชายสูงอายุต้องกิน จะช่วยให้ไม่เป็นไส้เลื่อน และไม่เป็นต่อมลูกหมากโต) ,
2. มุกสกัด
3. ลูกยอสุก เอาเม็ดออก ผสมยาสระผมสมุนไพร แก้เหา แก้คันจากไรฝุ่น ใช้ขับประจำเดือนอย่างแรง (ระวังอาจแท้งได้) ลูกยอมีฮอร์โมนเอสโตรเจน และตัวเบื่อเมา ใช้สับปะรดใส่ช่วยดับกลิ่นลูกยอได้
4. แครอทปั่นกับแอปเปิ้ลเขียวหรือฝรั่งหรือตะลิงปริง ,
บำรุงระบบเพศ
1. เนื้อลูกบัวต้ม
2.น้ำกระชายปั่น
สูตรอาหารอื่น ๆ
ใบกระเพราตากแห้ง – ใช้ต้มดื่มน้ำ ช่วยขับปัสสาวะ ขับลม
ใบมะยม,รากเตย, ใบหญ้าหวาน – ใช้ต้มดื่มน้ำ ช่วยบำรุงหัวใจ ด้านเบาหวาน ฟื้นฟูตับอ่อนให้แข็งแรง
ใบโหระพา – กินวันละ 7 ยอด เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยดูแล ปอด, ตับ, ม้าม, ไต, หัวใจ ให้แข็งแรง
ใบโหระพาปั่นกับสับประรด – ช่วยสร้างเม็ดเลือด
ใบเตย+ใบมะนาว/ ใบเตย+แก่นขนุน / ใบเตย+แก่นฝาง – ต้มรวมกันดื่มน้ำ ช่วยสร้างเม็ดเลือด
ใบเตย+แฮ่ม – ลดน้ำตาลในเลือด แก้ไมเกรน
ใบยอ – นำเอาใบมาย่างไฟ แล้วยำกินช่วยบำรุงเลือดได้ดี
ใบหูเสือ – กินช่วยขับพยาธิได้
ใบขี้เหล็ก -ช่วยขับถ่าย และช่วยให้นอนหลับดีขึ้น
มันเทศ – ลดความอ้วน อุ้มไขมันไปทิ้ง ลดความชื้นของม้าม ซุปมันเทศลดอาการตัวบวม
แกงบอน, ขมิ้นชัน, มันเทศ – เป็นอาหารลดความชื้นของม้าม และปอ
แกงสับปะรดใส่หอยแมงภู่แห้ง – แก้ปัสสาวะขัด ต่อมลูกหมากโต
เนื้อสับปะรด – ต้านการอักเสบ
ตาแย่ ตาป่วย ตาเจ็บ ตาแสบ – ต้องล้างระบบดูดซึมและดื่มน้ำกระชายและส่งอาหารที่มีวิตามินA และวิตามินEเข้าไปมากๆ คือ ขมิ้น , แกงผักบุ้งเทโพ , ผักบุ้งไฟแดง , ผลไม้ตากแห้ง เช่นกล้วยตาก ลูกเกด
ลูกเกด :- แก้ตาแพ้แสง , บำรุงผิวพรรณ , รักษาไมเกรน ช่วยให้เลือดเลี้ยงสมองส่วนหน้าได้ดี , แก้ถุงน้ำดีข้น , ลดความบ้า โรคจิตขี้กลัว ลดเครียด , ลดคลอเรสเตอรอล สรรพคุณคล้ายกระเจี๊ยบพุทราแห้ง
พริกหวานสีแดง ป้องกันโรคปวดตามข้อได้ ทำให้กระชุ่มกระชวย มีชีวิตชีวา สนุกสนาน
พริกหวานสีเหลือง กระตุ้นความอยากอาหาร ช่วยย่อย
พริกหวานสีเขียว คลอโรฟิลจะไปสร้างเม็ดเลือด
ที่มา/ https://thanakamon14.wordpress.com/category/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1/

นาฬิกาชีวิต

ช่วงเวลา ระบบที่เกี่ยวข้อง
01.00-03.00 น. ตับ นอนหลับพักผ่อนให้หลับสนิท
03.00-05.00 น. ปอด ตื่นนอน สูดอากาศบริสุทธ์
05.00-07.00 น. ลำไส้ใหญ่ ขับถ่ายอุจจาระ
07.00-09.00 น กระเพราะอาหาร กินอาหารเช้า
09.00-11.00 น. ม้าม พูดน้อย กินน้อย ไม่นอนหลับ
11.00-13.00 น. หัวใจ หลีกเลี่ยงความเครียดทั้งปวง
13.00-15.00 น. ลำไส้เล็ก งดกินอาหารทุกปะเภท
15.00-17.00 น. กระเพาะปัสสาวะ ทำให้เหงื่อออก ( ออกกำลังกายหรืออบตัว )
17.00-19.00 น. ไต ทำให้สดชื่น ไม่ง่วงเหงาหาวนอน
19.00-21.00 น. เยื่อหุ้มหัวใจ ทำสมาธิหรือสวดมนต์
21.00-23.00 น. ระบบความร้อนของร่างกาย ห้ามอาบน้ำเย็น ห้ามตากลม ทำให้ร่างกายอบอุ่น
23.00-01.00 น. ถุงน้ำดี ดื่มน้ำก่อนเข้านอน
การแพทย์ตะวันออกถือว่า กลางวันและกลางคืนมีความสัมพันธ์กับสุขภาพของมนุษย์ อย่างแยกไม่ออก โดยมองลึกลงไปอีกว่า ช่วงเวลา 24 ชั่วโมงในหนึ่งวันนั้น ภายในร่างกายของมนุษย์ยังมีการไหลเวียนของพลังชีวิตที่ผ่านอวัยวะภายในร่าง กายซึ่งประกอบด้วย อวัยวะตันและอวัยวะกลวง
อวัยวะตัน หมายถึง หัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ ปอด ม้าม ตับ ไต
อวัยวะกลวง หมายถึง กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ ระบบความร้อนของร่างกาย ( ชานเจียว )
การไหลเวียนของพลังชีวิต ( ลมปราณ ) ที่ผ่านแต่ละอวัยวะนั้นจะใช้เวลา 2 ชั่วโมง ทั้งหมดมี 12 อวัยวะ รวม 24 ชั่วโมง คือ หนึ่งวัน เรียกว่า “ นาฬิกาชีวิต “
ตัวอย่าง เช่นการไหลเวียนของเส้นลมปราณปอด จะมีพลังไหลเวียนเริ่มต้นที่เวลา 03.00 น. และสูงสุดในช่วงประมาณ 04.00 น. จากนั้นจะค่อย ๆ ลดลง และออกจากเส้นลมปราณปอดไปยังเส้นลมปราณลำไส้ใหญ่ เวลา 05.00 น. การรักษาโรคของเส้นลมปราณปอดที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดจึงควรอยู่ระหว่างเวลา 05.00 น.
ได้มีการศึกษาวิจัยพบว่า ผลของการใช้ยาตะวันตก คือ ยาดิติตาลิส ในการรักษาโรคหัวใจล้มเหลว ( มีการคั่งของน้ำในปอด ) การให้ยาในช่วงเวลา 04.00 น. จะให้ผลออกฤทธิ์ประมาณสี่สิบเท่าของการให้เวลาอื่นเป็นต้น
การเคลื่อนไหวของพลังชีวิตของอวัยวะภายในมีกฎเกณฑ์แน่นอนและสัมพันธ์ เกี่ยว ข้องกับเวลา ( นาฬิกาชีวิต ) ร่างกายเราจึงมีกลไกการปรับตัวมีการสร้างสารคัดหลั่งฮอร์โมน การทำงานของระบบต่าง ๆ ฯลฯ เป็นไปตามสภาพธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไป
การดำเนินชีวิตและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันให้สอดคล้องกับการ เปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ จึงเป็นหลักฐานของการมีสุขาพที่ดีและมีอายุยืน ปราศจากโรค โดยแบ่งเป็นช่วงเวลาดังนี้
01.00 – 03.00 น. เป็นช่วงเวลาของตับ ควรนอนหลับพักผ่อนกลางคืนถ้าใครนอนหลับได้ดีเป็นประจำในช่วงเวลานี้ ตับจะหลั่งสารมีราโทนิน
( melatonin ) เพื่อฆ่าเชื้อโรคทำให้หน้าอ่อนกว่าวัย นอกจากร่างกายจะหลั่งมีราโทนินประจำแล้ว ยังหลั่งสารเอนโดฟิน ( endorphin ) ออกมาด้วยจึงไม่ควรกินอาหารเพราะจำทำให้ตับทำงานหนักและเสื่อมเร็ว หน้าที่หลักของตับคือ ขจัดสารพิษในร่างกาย ส่วนหน้าที่รองคือ
1. ช่วยไตในการดูแลผม ขน เล็บ ถ้าตับมีปัญหา ผม ขน เล็บ จะไม่สวย
2. ช่วยกระเพาะย่อยอาหาร ถ้ากินบ่อย ๆ จะทำให้ตับทำงานหนัก ตับจะหลั่งน้ำย่อยออกมามาก จึงไม่ได้ทำหน้าที่หลัก เป็นเหตุให้สารพิษตกค้างในตับ
03.00 – 05.00 น. เป็นช่วงเวลาของปอด จึงควรตื่นนอนลุกขึ้นเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์และรับแสงแดดในยามเช้าผู้ที่ ตื่นนอนในช่วงนี้เป็นประจำปอดจะดี ผิวดีขึ้น และจะเป็นคนที่มีอำนาจในตัว
05.00 – 07.00 น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้ใหญ่ ควรขับถ่ายอุจจาระทำให้เป็นนิสัยทุกเช้า ถ้าไม่ถ่ายให้ใช้วิธีกดจุดที่ตำแหน่งสองข้างของจมูกถ้ายังไม่ถ่ายให้ดื่มน้ำ อุ่น 2 แก้ว ถ้ายังไม่ถ่ายอีกให้ดื่ม น้ำผึ้งผสมมะนาว โดยใช้น้ำ 1 แก้ว + น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ + มะนาว 4-5 ลูก ทำดื่มจนกว่าจะถ่ายหรือบริหารโดยยืนตรง หายใจเข้าแล้วก้มลงพร้อมทั้งหายในออก เอามือท้าวเข่าแขม่วท้องจนเหมือนว่าหน้าท้องไปติดสันหลัง
07.00 – 09.00 น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารจะทำงาน ถ้ากินอาหารเช้าในช่วงนี้ทุกวัน กระเพาะอาหารจะแข็งแรง ถ้าปล่อยให้กระเพาะอาหารอ่อนแอ จะส่งผลให้เป็นคนตัดสินใจช้า ขี้กังวล ขาไม่ค่อยมีแรง ปวดเข่า หน้าแก่เร็วกว่าวัย
09.00 – 11.00 น. เป็นช่วงเวลาของม้าม ม้ามจะอยู่ชายโครงด้านซ้ายและมีหน้าที่ควบคุมเม็ดเลือด สร้างน้ำเหลือง ควบคุมไขมัน คนที่ปวดศีรษะบ่อยมักมาจากความผิดปกติของม้าม อาการเจ็บชายโครงสาเหตุมาจากม้ามกับตับ
– ม้ามโต ม้ามจะไปเบียดปอด ทำให้เหนื่อยง่าย ผอมเหลือง ตาเหลือง สร้างเม็ดเลือดขาวได้น้อย
– ม้ามชื้น อาหารและน้ำที่กินเข้าไปจะแปรสภาพเป็นไขมันจึงทำให้อ้วนง่าย
ผู้ที่มักนอนหลับในช่วงเวลา 09.00 – 11.00 น. ม้ามจะอ่อนแอ นอกจากนี้ม้ามยังโยงถึงริมฝีปาก ผู้ที่พูดบ่อย ๆ หรือพูดเก่ง ๆ ม้ามจะชื้น จึงควรพูดน้อย กินน้อย ม้ามจึงจะแข็งแรง
11.00 – 13.00 น. เป็นช่วงเวลาของหัวใจ หัวใจทำงานหนักในช่วงเวลานี้จึงควรหลีกเลี่ยงความเครียด เหตุที่ทำให้ต้องใช้ความคิดหนัก และหาทางระงับอารมณ์ตื่นเต้นหรืออาการตกใจให้ได้
13.00 – 15.00 น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้เล็ก จึงควรงดกินอาหารทุกประเภท เพื่อเปิดโอกาสให้ลำไส้ทำงาน ลำไส้เล็กมีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารที่เป็นน้ำทุกชนิด เช่น วิตามิน ซี บี โปรตีนเพื่อสร้างกรดอะมิโน สร้างเซลล์สมองซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างไข่สำหรับผู้หญิง ถ้ากรดอะมิโน น้อยไข่จะมาไม่ครบทุกเดือน ผู้หญิงมีลำไส้ยาวกว่าผู้ชาย 11 ฟุต เพื่อให้การดูดซึมได้นานกว่าเนื่องจากต้องใช้กรดอะมิโนมากกว่าผู้ชาย เมื่อมีลำไส้ยาวกว่าจึงมีกระดูกซี่โครงมากกว่าผู้ชายข้างละ 1 ซี่
15.00 – 17.00 น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะปัสสาวะ แนวพลังของกระเพาะปัสสาวะเริ่มจากหัวตา ผ่านหน้าผาก ศีรษะ ท้ายทอย แผ่นหลังทั้งแผ่น สะโพก ด้านหลังขา หัวเข่า น่อง ส้นเท้า
นิ้วก้อย กระเพาะปัสสาวะจะเกี่ยวข้องกับระบบความจำ ไทรอยด์และระบบเพศทั้งหมด
ช่วงเวลานี้จึงควรทำให้เหงื่อออก อาจจะออกกำลังกายหรืออบตัว กระเพาะปัสสาวะจะได้แข็งแรง ข้อควรระวัง ถ้าเหงื่อมีโซเดียมปนออกมามากไตจะวายแต่ถ้ามีโปรตัสเซี่ยมปนออกมามาก หัวใจจะวาย แก้ไขเรื่องหัวใจวายด้วยการดื่มน้ำส้มหรือน้ำมะนาวเพื่อเติมโปรตัสเซี่ยม ผู้ที่มีโปรตัสเซี่ยมน้อยต้องระวังเรื่องการฉีดยาชา เพราะยาชา จะทำให้โปรตัสเซียมลดลงอย่างรวดเร็ว หัวใจอาจวายเองได้ง่าย การอั้นปัสสาวะบ่อย ๆ ปัสสาวะจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เหงื่อออกมามีกลิ่นเหม็นเหมือนปัสสาวะ
17.00 – 19.00 น. เป็นช่วงเวลาของไต จึงควรทำใจให้สดชื่น ไม่ง่วงเหงาหาวนอนในช่วงเวลานี้ ผู้ใดมีอาการง่วงนอนช่วงเวลานี้ แสดงว่ามีปัญหาเรื่องไตเสื่อม ถ้านอนหลับแล้วเพ้อ แสดงว่าอาการหนักมาก
– ไตซ้าย จะคุมสมองด้านขวา ซึ่งควบคุมด้านความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์สุนทรีย์ รักสวยรักงาม ชอบแต่งตัว ถ้าไตซ้ายมีปัญหา อารมณ์รักสวยรักงามจะหมดไป กลายเป็นคนปล่อยเนื้อปล่อยตัว และเป็นคนขี้ร้อน
– ไตขวา จะคุมสมองด้านซ้าย ซึ่งควบคุมด้านความจำ ถ้าไตขวามีปัญหาความจำจะเสื่อม และเป็นคนขี้หนาว ( ผู้ที่ไตแข็งแรงจะเป็นคนที่มีอายุยืน เป็นคนกล้า )
ถ้าลำไส้เล็กมีไขมันเกาะมาก อาหารที่อยู่ในรูปสารละลายจะผ่านลำไส้เล็กไม่ได้ จึงตกเป็นภาระของไต เป็นผลให้ไตทำงานหนัก จึงกลายเป็นโรคไต ผู้ที่เป็นโรคไต สมองจะเสื่อม ปวดหลัง เป็นหวัดง่าย มีเสลดในคอ
การดูแล คือ ตอนเช้าอาบน้ำเย็น ตอนเย็นอาบน้ำอุ่น กรณีที่อาบน้ำไม่ได้ให้ใช้วิธีแช่เท้า แต่น้ำควรใส่สมุนไพรที่ถูกกับโลกของผู้ป่วย เช่น ขิง ข่า กระชาย อย่างใดอย่างหนึ่ง
19.00 – 21.00 น. เป็นช่วงเวลาของเยื่อหุ้มหัวใจ ช่วงเวลานี้ควรจะสวดมนต์ทำสมาธิ ปัญหาเกี่ยวกับเยื่อหุ้มหัวใจ คือหัวใจโต หัวใจรั่ว เส้นโลหิตหัวใจตีบ ดังนั้นผู้ป่วยต้องระวังเรื่องตื่นเต้น ดีใจ การหัวเราะ กรณีเส้นเลือดขอด ต้องดูแลเยื่อหุ้มหัวใจให้แข็งแรง ควรใส่เสื้อผ้าชุดสีดำ เทา เอาเท้าไปแช่ในน้ำอุ่น
21.00 – 23.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ต้องทำให้ร่างกายอบอุ่น จึงห้ามอาบน้ำในช่วงเวลานี้ เพราะจะทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย อย่าไปตากลม เพราะเป็นช่วงที่ลมเป็นพิษ
23.00 – 01.00 น. เป็นช่วงเวลาของถุงน้ำดี ( ถุงน้ำดีเป็นถุงสำรองเก็บน้ำย่อยที่ออกมาจากตับ ) อวัยวะใดในร่างกายเมื่อขาดน้ำ จะมาดึงน้ำจากถุงน้ำดี ทำให้ถุงน้ำดีข้น เป็นผลให้อารมณ์ฉุนเฉียว สายตาเสื่อม เหงือกจะบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับ ตื่นกลางดึก หรือตอนเช้าจะจาม ( ถุงน้ำดีจึงโยงไปถึงปอด ) จะปวดศีรษะข้างเดียวหรือสองข้างโดยไม่ทราบสาเหตุ ( ผู้ที่ตัดถุงน้ำดีออก เมื่อตรวจด้วยลูกดิ่งจะพบว่า ถุงน้ำดีข้น มักมีอาการปวดขา ปวดสะโพก )
ทางแก้ คือ อย่าใส่ชุดนอนที่เป็นผ้าใยสังเคราะห์ ไนล่อน ชุดนอนทำจากใยสังเคราะห์จะไปดูดน้ำในร่างกาย ควรสวมชุดผ้าฝ้ายดีที่สุด ไม่ควรนอนบนที่นอนสูง ๆ เพราะจะทำให้เสียน้ำในร่างกาย ดังนั้นควรดื่มน้ำก่อนเข้านอน หรือก่อนเวลา 23.00 น.
อวัยวะภายในร่างกายมี 12 ระบบ แต่ละระบบจะทำงานหนักเป็นเวลา ชั่วโมง ในแต่ละวัน
ช่วงตีสามถึงตีห้า ปอดจะทำงานหนัก คนที่มีปัญหาเรื่องปอดจะไม่ค่อยตื่นเวลานี้ คนตื่นได้ตีสาม ตีห้า แปลว่าปอดแข็งแรง มีโอกาสเป็นผู้นำคน เพราะลมมาจากปอด พูดมีพลังอำนาจ คนตื่นสาย ปอดจะไม่แข็งแรง
การรักษาโรคปอดหรือหอบหืด
ใช้ขิงเท่าหัวแม่มือของผู้ป่วย หอมแดงเท่าขิง กระเทียมเท่าขิง ปั่นหรือตำเติมน้ำ 1 แก้ว กรองเอาแต่น้ำ ใส่น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ บีบมะนาว 3-4 ลูก ไม่เกิน 1 เดือน หอบหืดจะหาย เว้นเสียแต่จะเป็นมานานหลายสิบปีอย่างนี้ต้องใช้เวลา 60 วัน
ช่วงตีห้าถึงเจ็ดโมงเช้า เป็นช่วงเวลาของลำไส้ใหญ่ ซึ่งมีหน้าที่ขับถ่ายอุจจาระออกไป แต่คนเรามักจะไม่ตื่นในช่วงนี้ ซึ่งเป็นเวลาที่ลำไส้ต้องบีบอุจจาระลง เมื่อไม่ตื่นจึงต้องบีบขึ้น เมื่อไม่ถ่ายตอนเช้า ลำไส้ใหญ่จึงรวน ดูอย่างไรว่าลำไส้รวน จะมีอาการปวดหัวไหล่ กล้ามเนื้อเพดานจะหย่อนแล้วทำให้นอนกรนในที่สุด ในรายที่ลำไส้ใหญ่ผิดปกติ ควรตื่นนอนก่อนตีห้าแล้วไปขับถ่าย ถ้าไม่ถ่ายให้ดื่มน้ำอุ่น 2 แก้ว ถ้ายังไม่ถ่ายอีก ให้ดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาวและกดจุดข้างจมูกช่วย คนที่ขับถ่ายยากต้องกินอาหารเช้า
บางคนไม่กินอาหารเช้า ดื่มกาแฟเพียงแก้วเดียวก็อิ่ม ร่างกายจะดูดกากอาหารตกค้าง ซึ่งกำลังจะเป็นอุจจาระกลับเข้ากระเพาะใหม่ เท่ากับ “ กินกาแฟแกล้มอุจจาระ ”
ช่วงเจ็ดโมงถึงเก้าโมงเช้า กระเพาะอาหารจะทำงานเต็มที่ช่วงนี้ ถ้าเราไม่ทานอาหารเช้า อุจจาระจะถูกดูดกลับมาที่กระเพาะ กลิ่นตัวจะเหม็น ถ้าเราขับถ่ายออกหมดเกลี้ยงเกลา จะไม่มีกลิ่นตัวเท่าไหร่ อย่างน้อยขอให้มี โยเกิร์ต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว ก็จะได้สารอาหารเพียงพอในมื้อเช้าแล้ว สูตรนี้ได้มาจากพระไตรปิฎก บำรุงกระเพาะ สมองดี
วิธีการดูแลแผลในกระเพาะอาหารเนื่องจากมีกรดมาก ใช้ขมิ้นชันเท่านิ้วก้อย 3 แง่ง ต้องขูดเปลือกออกก่อนเพราะในเปลือกมี สารสเตียรอยด์สติกนิน ( สารนี้สะสมมากอาจเป็นอันตรายได้ ) นำมาหั่นเป็นแว่น ๆ ใส่ถ้วย เติมน้ำร้อนลงไป 3 ช้อนชา แต่ตักดื่มเพียง 2 ช้อน ที่เหลือทิ้งไป เป็นการรักษาแผลตามหลอดอาหารได้ดีมาก
ผู้เป็นแผลในหลอดอาหารมักไม่ค่อยรู้ตัว จะมีเสมหะบ่อย กินอาหารแล้วร้อนที่คอ ส่วนใหญ่เมื่อกินยาเข้าไปรักษา ยาจะเลยหลอดอาหารไปลงกระเพาะหมด ลองใช้สูตรนี้คือ กล้วยหอมหรือกล้วยน้ำว้าดิบประมาณ 2 ผล ใช้ทั้งเปลือกตัดจุกตัดก้าน หั่นเป็นแว่น ๆ นำไปต้มในหม้อ ใส่น้ำพอท่วม เติมน้ำตานกรวด กินเป็นประจำ ส่วนกล้วยหอมสุกกินทุกวันตอนเย็นสองลูก จะทำให้หัวริดสีดวงฝ่อหรือต้มกล้วยหอมสุกทั้งเนื้อและเปลือก ใส่น้ำตาลกรวด กินทั้งเนื้อและเปลือกก็จะดีมาก
ช่วงเก้าโมงเช้าถึงสิบเอ็ดโมง ม้ามจะทำงานหนัก ให้พูดน้อยกินน้อย ไม่นอนหลับ
ช่วงสิบเอ็ดโมงถึงบ่าย เป็นช่วงของระบบหัวใจ หมายถึงกล้ามเนื้อหัวใจ คนที่มีปัญหาเรื่องนี้ ดูที่อาการปวดไหล่ ไม่ได้แสดงอาการที่หน้าอกอย่างที่เข้าใจกัน กล้วย ส้ม มะเขือ เตย รากบัว บำรุงหัวใจ ( เม็ดบัวบำรุงตับ ไต )
ช่วงบ่ายถึงสามโมงเย็น เป็นช่วงลำไส้เล็ก ซึ่งเรื่องนี้สำคัญมากในยุคสมัยนี้เพราะว่าเป็นต้นเหตุของไข้หวัดหนู นก และเป็นตัวฆ่านักมังสวิรัติ ลำไส้เล็กขดไปมาในร่างกายผู้ชาย 30 ฟุต ผู้หญิงจะมากกว่าชายอีก 10 ฟุต การที่ไส้ขดไปขดมา เมื่อกินอาหารเข้าไป ส่วนที่ย่อยไม่หมดจะไปเน่าเสียตกค้างอยู่ตรงส่วนที่หักมุมของลำไส้ เศษผักไม่เท่าไหร่ ที่เป็นปัญหาคือทุกวันนี้ใช้น้ำมันผัดผักเพราะเร็วดี ถ้าเป็นน้ำมันธรรมชาติล้วน ๆ เช่น น้ำมันมะกอก จะไม่เป็นปัญหาต่อลำไส้เล็ก แต่น้ำมันที่ซื้อขายทั่
วไปมักมีส่วนผสมของน้ำมันปาล์ม แม้จะบอกว่าเป็นถั่วเหลือง หรือเมล็ดทานตะวันก็ตาม ลองเปรียบเทียบการทำความสะอาดครัวสมัยนี้ต้องใช้น้ำยาเคมีเพื่อล้างคราบ น้ำมันเหนียวเหนอะออกไป
น้ำมันปาล์มเมื่อโดนความร้อนจะทำให้เหนียวหนืด เวลาโฆษณามักบอกว่าไม่เป็นไข เมื่อนำไปแช่ตู้เย็น แต่ในร่างกายคนเรามีอุณหภูมิ 37 องศา เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะไปเกาะที่ลำไส้ เวลาดื่มน้ำ น้ำก็ไม่สามารถทะลุผ่าน ทำให้ต้องฉี่บ่อยๆ บางคนดื่มน้ำไปไม่ถึงสิบนาทีก็ต้องลุกไปฉี่ เพราะไตทำงานหนัก เมื่อเป็นอย่างนี้ทุกวันจะทำให้กระดูกเสื่อม เพราะไตเป็นตัวควบคุมกระดูกและสมอง และเลือดไปเลี้ยงสมองก็น้อย เกิดปัญหาสมองเสื่อมตามมาอีก น้ำไม่เข้าร่างกาย แต่ที่สิ่งผ่านเข้าไปได้คือวิตามินเอ อี ดี แต่วิตามินซี โปรตีน กรดอะมิโน ไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ จึงโละไปให้ไต ไตต้องทำงานหนักเพราะต้องขับโปรตีนออกมา เพราะฉะนั้น คนที่เป็นโรคไตเวลาตรวจปัสสาวะจะพบโปรตีน เพราะโปรตีนไม่สามารถดูดซึมเข้าร่างกายได้ ต้องมีสี่ตัวหาม สามตัวแห่ คือ วิตามินซี บี1 บี3 บี6 และบี11 เข้าไปเป็นชุดของมัน จะขาดตัวหนึ่งตัวใดไม่ได้ ต้องมาพร้อมกัน ที่ไตทำงานหนักก็เพราะเหตุนี้
เมื่อมีปัญหาที่ไต น้ำไม่อาจผ่านเข้าไปได้ สิ่งที่ตามมาคือ ถึงน้ำดีข้น ถุงน้ำดีจะเก็บน้ำดีจากตับแล้วมาย่อยไขมัน ถึงน้ำดีจะแห้งไปทุกวันเพราะน้ำไม่เข้าตัว เราจะตื่นนอนหรือนอนไม่หลับในช่วงห้าทุ่มถึงตีสาม ไปหลับอีกทีในช่วงเช้ามืด ซึ่งเป็นเวลาที่ควรตื่นนอนแล้ว เพราะว่าช่วงนี้มันง่วงก็หลับเช้ามืดอีกเพราะฉะนั้นช่วงนี้ถึงน้ำดีจะข้น ซึ่งเป็นต้นเหตุของไมเกรน ถ้าแพทย์แผนปัจจุบันต้องรอให้ปวดหัวเสียก่อน แต่แพทย์แผนโบราณจะตัดสินว่าเป็นไมเกรนได้ ตั้งแต่เริ่มมีอาการคอแห้ง ร้อนใน ปวดตามซี่โครง ปวดขา ด้านข้าง เสียวฟัน ปลานประสาทฟันดูเหมือนจะอักเสบตลอดเวลา ไปหาหมอจะถอนให้ปวดกระบอกตา ปวดหู หมอจะบอกว่าน้ำในหูไม่เท่ากัน แต่ต้นเหตุจริง ๆ มาจากถุงน้ำดีข้น ซึ่งเป็นเรื่องของเหตุตาม ๆ กันมาที่ทำให้ปวดหัวข้างเดียวหรือสองข้าง เลือดเลี้ยวสมองส่วนหน้าไม่พอ จะมีปัญหาสายตาตามมา ตาจะเป็นต้องง่าย จมูกจะเป็นไซนัสง่าย เป็นภูมิแพ้ง่าย นี่คือผลพวงมาจากลำไส้เล็กไม่สะอาดทั้งสิ้น
Detox วิธี DETOX ลำไส้เล็กตามธรรมชาติ เอาสูตรมาจากพระไตรปิฏก คือสูตร โยเกิร์ต+นมสด+น้ำผึ้ง+น้ำมะนาว กินเข้าไปจะล้างลำไส้ได้ แลคโตบาซิลัสในโยเกิร์ตจะไปช่วยไขมันที่อยู่ในลำไส้ไปย่อยขยะในลำไส้ด้วย เปลี่ยนเป็นวิตามิน บี12 ให้เรา สูตรนี้กินตอนเช้าลดความอ้วน กินตอนเย็นเพิ่มความอ้วนฝึกดื่มน้ำตามมาก ๆ เป็นวิธีแก้
ถ้ามีผลต่อเนื่องที่เกิดจากไขมันเกาะในลำไส้เล็ก เช่น เป็นโรคไตเกิดขึ้นการที่ผมเปลี่ยนสีเป็นสัญลักษณ์ของอาการไตเริ่มเสื่อม
ไตสองข้างเสื่อมจะมีอาการไม่เหมือนกัน ถ้าไตซ้ายเสื่อท่านจะขี้ร้อน และไม่ใส่ใจตนเองไม่ค่อยดูแลตัวเอง เป็นอะไรก็ปล่อยปละละเลย ปล่อยตัวแต่ไม่ปล่อยวางไม่กตัญญูต่อแผ่นดินที่ให้ร่างกายนี้มา ร่างกายเราเป็นแผ่นดินของจิตวิญญาณ
ถ้าไตขวาเสื่อมจะขี้หนาว ความจำลดลง ไม่ต้องรอให้หมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคไต ถ้าเริ่มมีสัญญานก็จัดการตัวเองเลย เห็ดหูหนูดำเป็นตัวดูแลไตที่ดี บางสำนักอาจตีความ เห็ดชนิดนี้ไว้ไม่ดีว่า อาจเป็นพิษหรืออะไร ที่จริงเห็ดเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีกว่าถั่วเหลือง เต้าหู้
นักมังสวิรัติบางคนถูกครอบงำด้วยสารพิษในลูกชิ้นเทียม อาหารจากธรรมชาติที่ดีที่สุด เห็ดหูหนูบำรุงไต เห็ดหูหนูขาวบำรุงปอด ถ้าเอาเห็ดสามอย่างมาปรุงอาหารรวมกัน จะเกิดความมหัศจรรย์ขึ้น สามารถล้างพิษในตับได้ ผมเป็นนักธรรมชาติบำบัดมาหลายปี มีประสบการณ์ในการรักษาคนไข้โรคมะเร็ง มีประสบการณ์ในการกินเห็ดสามชนิด ทำให้หายดีขึ้น
เห็ดสามชนิด คือเห็ดอะไรก็ได้ที่กินได้ จะแกงส้งกินก็ได้ ทั้งสามตัวนี้สามารถช่วยรักษาตับ ซีสต์ เนื้องอก มะเร็ง มีการค้นพบว่า คนเป็นเนื้องอกใหญ่ในมดลูกช่องท้อง หลังจากกินเห็ดสามอย่างเป็นประจำ พวกซีสต์เนื้องอกจะลดลง มีกลุ่มที่ รพ.นวนคร ป่วยเป็นซีสต์ในมดลูก เขาเอาเห็ดสามอย่างมาทำแกงเลียง แกงส้ม ต้มยำ หรือของหวานได้ทั้งนั้น หรือจะทำน้ำดื่มใส่มะตูมใบเตย เครื่องดื่มนี้ถ้าทานเป็นประจำจะล้างสารพิษในร่างกายออกได้ดี อาจจะต้มใส่กา ห่วยซัว ใส่หม้อต้มกับสาหร่ายทะเล ไม่ต้องปรุงอะไรอร่อยพอดี เป็นซุบทานประจำก็ได้
เรื่องไต ตัวที่บำรุงไตดีที่สุดคือกระชาย ไม่ถึงขนาดต้องใช้กระชายดำเพราะราคาแพง เอาแต่กระชายเหลืองธรรมดา 1 กก. ใส่น้ำเยอะ ๆ ปั่นผสมกับโหระพา รินเอาแต่น้ำใส ทำมาก ๆ แล้วเก็บใส่ตู้เย็น ไม่ต้องต้มเพราะมันฆ่าเชื้อด้วยตัวเอง ผสมน้ำผึ้ง น้ำมะนาว ดื่มบำรุงสมอง บำรุงกระดูก เลือดเลี้ยงสมองไม่ดี ความจำเสื่อม นอนไม่ค่อยหลับ จะช่วยได้ แล้วผมจะกลับมาดกดำอีก ( ผมอายุ 50 ปี สมัยก่อนหัวล้าน ผมร่วง หงอกด้วย พอได้น้ำกระชายก็กลับมาดำใหม่ ไม่ต้องย้อมเลย )
โคเรสเตอรอล แพทย์ตะวันตกไม่ให้ความสำคัญกับเยื่อหุ้มหัวใจ มันมีผลต่อการทำให้โคเรสเตอรอลสูง มีผลทำให้ลิ้นหัวใจรั่ว เส้นเลือดตีบในสมองหรือคนที่เป็นเส้นเลือดขอด ให้ใช้กระเจี๊ยบแดงต้มกับพุทราไทยหรือจีนก็ได้ เติมน้ำตาบกรวดเล็กน้อย เอาไว้ล้างไขมันในเลือด ในรายที่เส้นโลหิตในสมองตีบก็สามารถ ขจัดออกไปได้เร็ว ๆ นี้ คนป่วยด้วยโลหิตในสมองตีบ ก็แนะนำให้ต้มกระเจี๊ยบกับพุทราจีนกิน เขาก็หายได้ เป็นเรื่องง่าย ๆ แต่ช่วยได้เยอะ
ในร่างกายที่ไม่ค่อยสร้างเม็ดเลือด มีเม็ดเลือดน้อย หรือเป็นลมหน้ามืดบ่อยการใช้สับปะรดกับโหระพาจะช่วยเพิ่มเม็ดเลือดได้ดี เด็กที่เลือดน้อย ลองทำให้กินในรายที่ทานมังสวิรัติ แล้วคิดว่าขาดโปรตีนอย่ากังวล เพียงปั่นสับปะรดกับใบโประพาให้ดื่ม ก็สามารถเพิ่มเม็ดเลือดได้เป็นการสร้างโปรตีนให้แก่ร่างกายด้วยวิธีง่าย ๆ แม้พืชผักในธรรมชาติก็มีแหล่งโปรตีน และกรดอะมิโนอยู่ในตัวของเพียงให้รู้จักวิธีนำมาใช้
ที่มา / https://thanakamon14.wordpress.com/category/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1/

วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เห็ดหอม (Shiitake Mushroom)

เห็ดหอมมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Lentinus edodes ภาษาจีนเรียกว่า "เฮียงคุ่ง" หรือ "เฮียงสิ่ง" ส่วนญี่ปุ่นเรียกเห็ดหอมว่า ชิตาเกะ (Shi-ta-ke) ชาวเอเชีย เชื่อกันมาแต่โบราณแล้วว่าเห็นหอมเป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้ร่างกายแข็งแรง ช่วยชะลอความชราได้  คนจีนและคนญี่ปุ่นจึงนิยมรับประทานกันมาก

          ย้อนไปในศตวรรษที่ 14 มีบันทึกไว้ว่าแพทย์จีนใช้เห็ดหอมปรุงเป็นยาอายุวัฒนะ ทำให้เลือดลมดี รักษาโรคหวัด โรคหัวใจ แก้พิษงู และต้านการเติบโตของเนื้อร้าย

          ต่อมาในค.ศ. 1970 มีงานวิจัยหลายชิ้นในญี่ปุ่นพบว่าเห็ดหอมมีกรดอะมิโนที่ชื่อว่า อิริตาดีนีน (eritadenine) ช่วยให้ไตย่อยโคเลสเตอรอลได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ระดับโคเลสเตอรอลในเลือดลดลงได้อย่างน่าอัศจรรย์ และมีสารเลติแนน (lentinan) ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ระบบภูมิคุ้มกัน ให้มีประสิทธิภาพในการต่อสู้ยับยั้ง หรือป้องกันการเติบโตของเซลล์เนื้องอกต่าง ๆ ได้ดีอีกด้วย

          สอดคล้องกับที่สถาบันทางโภชนาการของญี่ปุ่น ได้ทำการทดลองในเรื่องนี้และพบว่า หญิงสาวที่ทานเห็ดหอมสด 90 กรัม ทุกวันเป็นเวลา 1 อาทิตย์จะทำให้โคเลสเตอรอลในเลือดลดลง 12% ถ้ารับประทานเป็นเห็ดหอมแห้ง 9 กรัมต่อวัน โคเลสเตอรอลลดลง 7% เมื่อทดลองกับคนอายุ 60 ปี พบว่าโคเลสเตอรอลลดลง 9% หลังจากทานเห็ดหอม 1 อาทิตย์

          ขณะที่นักวิจัยสมัยใหม่ซึ่งได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับเห็ดหอม ก็พบว่าเห็ดหอมช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ต้านโรคมะเร็งและโรคร้ายต่าง ๆ จากเชื้อไวรัส และจากการวิเคราะห์ของนักโภชนาการยังพบด้วยว่า เห็ดหอมมีสารเออร์โกสเทอรอล (Ergosterol) อยู่มาก โดยเมื่อร่างกายได้รับแสงอัลตร้าไวโอเลตหรือรังสียูวีจากดวงอาทิตย์ กลไกรังสียูวีจะไปเปลี่ยนสารเออร์โกสเทอรอลในผิวหนังให้เป็นวิตามินดี ซึ่งจะช่วยให้กระดูกและกล้ามเนื้อแข็งแรง ป้องกันโรคกระดูกผุ โรคโลหิตจางได้

          ส่วนที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติของญี่ปุ่น ก็ได้ทำการวิจัยสารที่สกัดจากเห็ดหอม พบว่ามีสารที่สามารถต่อต้านเนื้องอกและมะเร็ง คือสารเลนติแนนที่มีเปอร์เซ็นต์การยังยั้ง 80.7% และยังพิสูจน์ว่า สารเลนติแนน เป็นตัวที่สามารถกระตุ้นให้ร่างกายเกิดภูมิต้านทานได้ดี ได้มีการทดลองนำเห็ดหอมมาสกัดพบว่าในเห็ดหอมให้น้ำตาลโมเลกุลขนาดใหญ่ (mega-sugar) ที่เรียกว่า เบต้ากลูแคนส์ (beta-glucans) ถึง 2 ชนิดได้แก่ เลนติแนน และ LEM (Lentinulaedodes mycelium) ซึ่งช่วยทำหน้าที่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันต่อสู้กับการติดเชื้อ และชะลอการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง ซึ่งในการทดลองให้สารเลนติแนนกับผู้ป่วยมะเร็งร่วมกับทำเคมีบำบัดก็พบว่า ก้อนมะเร็งมีขนาดลดลง และอาการข้างเคียงจากการทำเคมีบำบัดก็เกิดขึ้นน้อยลงด้วย

          ล่าสุดทีมวิจัยในญี่ปุ่นกำลังมองหาความเป็นไปได้ในการใช้ LEM ที่ได้จากเห็ดหอมมาบำบัดผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) และยังพบอีกว่า สารสกัดจากเห็ดหอมอีกตัวหนึ่ง ชื่อ อิริตาดีนีน (eritatenine) เป็นตัวช่วยลดปริมาณไขมันในเลือดและระดับโคเลสเตอรอลให้กับร่างกาย

          นอกจากนี้ เห็ดหอมยังมีวิตามิน B2 (riboflavin) และวิตามิน D มากเป็นพิเศษ รวมทั้งแร่ธาตุอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ต่อต่างกายอีกมากมาย

          โดยสรุปแล้วเห็ดหอมไม่เพียงแต่มีรสชาติหวานหอมชวนรับประทานเท่านั้น แต่ยังมีสรรพคุณมากมายในทางเป็นยารักษาและป้องกันโรคสารพัด ทั้งจากโรคต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว รวมถึงเป็นยาบำรุงกำลังชั้นเยี่ยม แก้อาการเหนื่อย อ่อนเพลีย บรรเทาอาการไข้หวัด ทำให้เลือดลมไหลเวียนดีขึ้น ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี ไม่มีอาการท้องผูก บรรเทาอาการปวดเมื่อย ช่วยรักษาโรคหอบหืด ความดัน ไอ ลดความเครียด บำรุงสมอง ป้องกันหลอดเลือดแดงแข็งตัว บำรุงระบบประสาท ช่วยให้หลับง่าย บำรุงปอด และหลอดลม นอกจากนี้ ยังใช้บำบัดอาการวิงเวียนศีรษะในผู้หญิงได้ด้วย

          อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อห้ามเล็กน้อยในเรื่องการรับประทานเห็ดหอม คือสตรีหลังคลอด ผู้ป่วยหลังฟื้นไข้ และคนที่เพิ่งหายจากการออกหัด ห้ามรับประทาน

          อ้อ..ผลการวิจัยทั้งหลายนั้นบอกด้วยว่า เห็ดหอมตากแห้งจะให้คุณค่าทางอาหารมากกว่าเห็ดหอมสด และเห็ดหอมแห้งที่ดี ควรมีดอกขนาดใหญ่แห้งสนิทบนดอกมีร่องแตกสีขาวดำ และขอบไม่แข็ง

เห็ดหอมทอดซีอิ๊ว .....

:: ส่วนผสมและเครื่องปรุง ::
- เห็ดหอมสด 200 กรัม
- ซีอิ๊วขาว 1/2 - 1 ชช.  ... (แล้วแต่ความเค็มของซีอิ๊วที่ใช้)
- ซอสปรุงรส 1/4 ชช.
- น้ำตาลทรายนิดหน่อย
- พริกไทยป่นนิดหน่อย
- น้ำมันพืชสำหรับทอด

วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เห็ดฟาง


เห็ดฟางเป็นเห็ดยอดนิยมของคนไทย นิยมเพาะกันบนกองฟางข้าวชื้นๆ โคนมีสีขาว ส่วนหมวกสีน้ำตาลอมเทา หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดตลอดทั้งปีเดิมคนไทยเรียกเห็ดฟางว่า เห็ดบัว เพราะมีเกิดขึ้นได้เองในกองเปลือกเมล็ดบัวที่กะเทาะเมล็ดภายในออกแล้ว ต่อมาเมื่อมีการส่งเสริมให้ใช้ฟางเพาะจึงนิยม เรียกว่า เห็ดฟาง


ชื่อสามัญ Straw Mushroom 
ชื่อวิทยาศาสตร์ Volvariella vovacea(Bull. Ex.Fr.) Sing 
ชื่ออื่น เห็ดบัว ภาคอีสานเรียกว่า เห็ดเฟียง 
ถิ่นกำเนิด ประเทศจีน 


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ เห็ดฟางเป็นเห็ดที่ขึ้นตามกองฟาง ดอกตูมมีลักษณะเป็นก้อนกลมสีขาว มีเยื่อหุ้มกระเปาะคล้ายถ้วย รองรับ ฐานเห็ดเรียกว่า ผ้าอ้อมเห็ด เมื่อหมวกเห็ดเจริญเติบโตเต็มที่จะกางออก คล้ายร่ม ด้านบนของหมวกเห็ดจะสีเทาอ่อน หรือเทาเข้ม ผิวเรียบและอาจมีขนละเอียดคลุมอยู่บางๆคล้ายเส้นไหม ด้านล่างมีครีบดอกบางๆ ก้านดอกสีขาว เนื้อในแน่น ละเอียด 
ฤดูกาล ตลอดปี 


แหล่งปลูก สระบุรี นครนายก อยุธยา อ่างทอง สงขลา ขอนแก่น กาฬสินธุ์ สุราษร์ธานี และนครศรีธรรมราช การกิน เห็ดฟางนำมาปรุงอาหารได้หลายอย่าง เช่นยำเห็ดฟาง เห็ดฟางผัด ต้มยำเห็ดฟาง และแกงเลียงใส่เห็ดฟาง เป็นต้น 


สรรพคุณทางยา เห็ดฟางมีสาร vovatoxin ช่วยป้องกันการเติบโตของไวรัส ที่ทำให้เกิดไข้หวัดใหญ่ ช่วยลดปํญหาเกี่ยวกับไขมันในเส้นเลือดและโรคหัวใจได้ 
คุณค่าทางอาหาร เห็ดฟาง 100 กรัม ให้พลังงาน 35 kcal โปรตีน 3.2 กรัม ไขมัน 0.2 กรัม คาร์โบไฮเดรต 5 กรัม แคลเซียม 8 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 18 มิลลิกรัม เหล็ก 1.1 มิลลิกรัม ไนอะซิน 3.0 มิลลิกรัม วิตามินซี 7 มิลลิกรัม 

ประโยชน์ของเห็ดฟาง

ให้วิตามินซีสูง และมีกรดอะมิโนสำคัญอยู่หลายชนิด เชื่อว่าหากรับประทานประจำจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันลดการติดเชื้อต่างๆ แต่ก็ไม่ควรรับประทานสด ๆ เพราะมีสารที่คอยยับยั้งการดูดซึมอาหาร ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน โรคเหงือก และลดอาการผื่นคันต่างๆ 


คุณค่าทางอาหารของเห็ดฟาง วิเคราะห์โดยกรมวิชาการเกษตร

คุณค่าทางอาหารคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ (%)
ความชื้น (initial moisture) 88.4 
โปรตีน (crude protein) 33.1 (ของน้ำหนักแห้ง) 
ไขมัน (fat) 6.4 (ของน้ำหนักแห้ง)
คาร์โบไฮเดรต (total carbohydrate) 60.0 (ของน้ำหนักแห้ง)
เยื่อใยหรือกาก (fiber) 11.9 (ของน้ำหนักแห้ง)
เถ้า (ash) 12.6 (ของน้ำหนักแห้ง)
พลังงาน (energy value) 338 กิโลแคลลอรี
เมนูอาหาร

ส่วนผสม

  1. พริกขี้หนู  15 เม็ด
  2. กระเทียม  1 หัว ถ้ากลีบใหญ่ใช้ 2กลีบก็ได้คะ 
  3. หัวหอมแดง 2 หัว
  4. ตะใคร้หั่นแว่น 5 แว่น
  5. เกลือ
  6. น้ำปลา  1 ช้อน
  7. กะปิ  1ช้อน (ประมาณหัวแม่มือนะคะ)
  8. ฝักทอง  250 กรัม
  9. บวบ 2 ลูก
  10. หยอดฝักแม้ว หรือ ยอดฝักทอง 250 กรัม
  11. เห็ดฟาง 5 ดอก
  12. น้ำใบหญ้านาง  2 ถ้วย


เริ่มทำกันเลยเนอะ แกงเลียงเห็ดฟาง วันนี้ง่ายๆไม่ยุ่งยาก 1 2 3

  1. ทำการล้างทำความสะอาดผักต่างๆที่เราคัดสรร มาจัดการล้างให้สะอาด

  2. ทำการหั่น ไม่ว่าจะเป็น ฝักทอง บวบ  เห็ด จะหั่นขนาดไหน ก็ตามแต่ใจปรารนาได้เลยคะแล้วแต่ความชอบกันไปเลยงานนี้ แล้วเตรียมพักไว้ก่อน

  3. หันมาเด็ดยอดฝักแม้ว หรือ ยอดฝักทอง ถ้าเป็นผักทองอย่าลืมลอกใยหนาม ๆออกก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวติดคอไม่รู้ด้วย จะไม่อร่อยเอา 55555+  เด็ดเป็นท่อนๆยาวประมาณ 3-4 ซม. ก็ไม่ต้องถึงกับต้องใช้ไม้บรรทัดมาวัดกันนะคะ ( -   -)a !!

  4. ต่อมาหันมาโขลกน้ำพริกแกงกันบ้างนะคะ เริ่มจากเทแล้วก็เท พริก กระเทียม  เกลือนิดหน่อย  ออกแรงโขลกๆ แล้วก็ตามด้วยหัวหอมแดงตามไป โขลกๆ ใกล้จะเป็นแกงเลียงเห็ดฟาง ใกล้ละๆ ตามด้วยกะปิ ของเรา คลุกเคล้ากันไป 

  5. หันมาสนใจตั้งน้ำพร้อมจะแกงดีกว่า  นำน้ำย่านางที่เตรียมไว้ 2 ถ้วย ใส่หม้อตั้งบนเตา รอให้น้ำเดือด

  6. เมื่อน้ำเดือดแล้วจัดการ ใส่พริกแกงที่ได้ทำการโขลกไว้ ใส่ตามไป

  7. เมื่อน้ำเดืออีกรอบ เริ่มได้กลิ่นแล้วๆแกงเลียง  จัดการเททุกอย่างไปในหม้อเลยค๊า ง่ายๆไม่ต้องทำให้ยาก

  8. รอจนทุกอย่างสุกเป็นอันใช้ได้คะ อาจจะเติมน้ำปลาลงไปเพิ่มรสอีกนิส1 แต่อย่าเยอะนะคะกินเค็มไตทำงานหนัก




วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2556

เห็ดหลินจือ


คนโบราณจะหาตามป่าตามเขาที่ขึ้นตามธรรมชาติ เพื่อนำมาเป็นอาหารบำรุงและบำบัดโรค เพิ่มประสิทธิภาพภูมิคุ้มกันโรค เป็นยาอายุวัฒนะ ที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยทำให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เกิดความสมดุลย์ตามธรรมชาติ โดยเฉพาะระบบทั้ง 3 ของร่างกาย ได้แก่
* ระบบางเดินอาหาร โรคกระเพาะอักเสบ ลำไส้อักเสบ ทางเดินอาหารอักเสบ ทางเดินอาหารอักเสบเรื้อรัง อาหารเป็นพิษ สารพิษตกค้าง ร่างกายมีกรด เบื่ออาหาร ท้องผูก ริดสีดวงทวาร

* ระบบทางเดินหายใจ โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ไข้หวัด หอบหืด ภูมิแพ้ อาการไอ ริดสีดวงจมูก

* ระบบไหลเวียนของโลหิต โรคที่เกิดจากการมีคอลเลสเตอรอลในเลือดสูง เส้นเลือดอุดตัน หลอดเลือดแข็งตัว ความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตต่ำ โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และรอบเดือนไม่ปกติของสตรี โรคอื่น ๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคตับอักเสบ โรคไตอักเสบ การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ โรคประสาท โรคปวดหัวข้างเดียว (ไมเกรน) นอนไม่หลับ โรคเครียด ลมบ้าหมู สิว ฝี ผิวแตกมีน้ำเหลืองเป็นแผลภายใน ภายนอก โรคเกาท์ อัมพฤกษ์ อัมพาตและภาวะที่มีบุตรยาก
การรับประทานหลินจือ
   สำหรับผู้ที่รับประทานเห็ดหลินจือใหม่ ๆ นั้น อาจจะรู้สึกมึนศรีษะ ปวดเมื่อย ปวดตามข้อ ง่วงนอน ผิวหนังเกิดอาการคัน อาเจียร อาการคล้ายท้องเสีย ท้องผูก มีปัสสาวะบ่อย หรือจะมีผลลักษณะอาการของโรคนั้น ๆ ถือเป็นปฏิกิริยาสะท้อนกลับ อันเป็นเรื่อง ปกติของการบำบัด ด้วยยาสมุนไพรแผนโบราณ เนื่องจากเมื่อตัวยาได้เริ่มเข้าไปบำบัดนั้น จะเข้าไปชะล้างสิ่งที่เป็นพิษ

ในร่างกายให้สลายหรือเคลื่อนย้ายขับสารพิษ ออกจากร่างกาย จึงทำให้ร่างกายเกิดอาการผิดปกติดังกล่าว ซึ่งเป็นสัญญาณ ว่าร่างกายกำลังฟื้นตัว ไม่ใช่ผลข้างเคียง ดังเช่น สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน เมื่อรับประทานหลินจือแล้วอาจจะมีการ ขับถ่ายน้ำตาล ออกมามากผิดปกติ ส่วนผู้ที่เป็นโรคเก๊าท์อาจเกิดอาการเจ็บปวดมากขึ้น โรคไต หรือผู้ป่วยที่ต้อง ล้างไต จะปวดเมื่อยตามข้อ เท้าจะบวม ร่างกายอ่อนเพลีย ซึ่งอาการเช่นนี้จะเกิดขึ้นระยะเวลาสั้น ๆ เพียง 2-3 วัน หรือประมาณ 1 อาทิตย์ ก็จะกลับสู่สภาพปกติ แล้วแต่สภาพร่างกาย อันแตกต่างกัน ของแต่ละคน ไม่ต้องตกใจ ให้รับประทานหลินจือต่อไป อย่าหยุด หากมีผลทางอาการมาก ให้ลด จำนวนแคปซูลลง  เมื่อมีอาการปกติ ให้รับประทานตามคำแนะนำต่อไป สำหรับผู้ป่วยที่กำลัง รับประทานยารักษาที่แพทย์สั่ง ก็สามารถรับประทานหลินจือควบคู่ไปได้


  เป็นการเสริมรักษาหรือร่วมรักษา นอกจากจะไม่เกิดอาการต่อต้านขึ้นแล้ว ยังช่วยขจัดผลข้างเคียง อันเกิดจากยาแผนปัจจุบัน และช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพในการชักนำยาดังกล่าว ในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ดียิ่งขึ้น
   การที่จะทราบว่าจะรับประทานได้มากน้อยเพียงใด ต้องขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วย ของโรคและสภาพร่างกายของแต่ละคนจะ ไม่เหมือนกัน เช่น บางคนจะรับประทาน 3 ชุดต่อวัน ก็สามารถบำบัดโรคได้อย่างเห็นได้ชัด แต่สภาพร่างกายของบางคน ต้องรับประทานเพิ่มเป็น 4 ชุด หรือ 5 ชุด หรือ 6 ชุดต่อวัน การบำบัดโรคจะเห็นได้ชัด
* ผู้ป่วยเป็นโรคหืดหอบ โรคหัวใจ โรความดัน โรคเบาหวาน และโรคกระเพาะ รับประทานหลังอาหาร 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง หลังจาก 2 สัปดาห์ เมื่อร่างกายปรับตัวได้แล้ว ให้รับประทานก่อนอาหาร เหมือนผู้ป่วยโรคอื่น ๆ
* โรคอื่น ๆ รับประทานก่อนอาหาร 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง
* ผู้ป่วยเป็นโรคริดสีดวงทวาร แผลเน่าเปื่อยจากโรคเบาหวานและโรคมะเร็งที่ผิวหนัง เมื่อรับประทาน หลินจือตามคำแนะนำแล้ว ให้นำผง อาร์จี คือ ส่วนดอกของ "หลินจือ" ออกจากแคปซูล นำไปโรยที่ แผลอักเสบของรูทวารหนัก และบริเวณที่เป็นแผลอักเสบอื่น ๆ สำหรับผู้ป่วยที่กำลังรับประทาน ยารักษาตามที่แพทย์สั่ง ไม่ควรละทิ้งยาจากแพทย์กระทันหัน ให้ไปรับประทานหลินจือควบคู่กันไป
* การรับประทานหลินจือในอาทิตย์แรก จะมีปฏิกิริยาสะท้อนกลับเกิดขึ้น เช่น มึนศรีษะ ปวดเมื่อย ปวดตามข้อ ผิวหนังเกิดอาการคัน อาเจียร อาการคล้ายท้องเสีย ท้องผูก มีปัสสาวะบ่อย หรือลักษณะ ของโรคนั้น ๆ ผู้ป่วยไม่ควรกังวล ให้รับประทานหลินจือตามคำแนะนำต่อไป หากมีปฏิกิริยาสะท้อนกลับ ของโรคมาก ให้ลดจำนวนแคปซูลรับประทานลงมา บางรายจะไม่เกิดปฏิกิริยาสะท้านกลับของโรคเลย
* สำหรับผู้ที่ต้องการบำรุงดูแลสุขภาพ ของตัวเองเพื่ออายุวัฒนะ ให้รับประทาน 1 ถึง 4 ชุด ตามตารางข้างต้นติดต่อกันตลอดไป ก็จะได้รับผลดังกล่าว

 เห็ดหลินจือ สมุนไพรหมื่นปี
โอสถทิพย์ จาก สรวงสวรรค์
ในบรรดาพืชสมุนไพรที่มีอยู่อย่างมากมาย กระจัดกระจายทั่วทุกภูมิภาค ดูเหมือนชื่อของ เห็ดหลินจือ เห็ดสมุนไพรเจ้าของฉายา "เห็ดหลินจือหมื่นปี"
จะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นส่วนผสมในการปรุงยามากเป็นอันดับหนึ่ง
ประวัติความเป็นมาและคุณค่าของเห็ดหลินจือเป็นเช่นไร ขอให้พิจารณาดูข้อมูลประกอบดังต่อไปนี้ก่อน
* ปี ค.ศ. 317 ชื่อของเห็ดหลินจือปรากฎในคัมภีร์จีนโบราณ กล่าวถึงยาเทวดาชนิดหนึ่งซึ่งขี้นบนยอดเขาสูง ใต้ไม่ใหญ่ หรือข้างลำธาร มีรูปร่างเหมือนดั่งห้องหับในพระราชวัง รถม้า หรือเสือมังกร เมื่อนำไปทำให้แห้งแล้วรับประทานจะทำให้กลายเป็นเทวดาหรือ "เซียน" ได้ แม้แต่ชนิดของลงไปก็ยังสามารถทำให้อายุยืนได้ถึงพันปี
* ปี ค.ศ. 1115 สมัยราชวงศ์ซ่ง คัมภีร์ไทผิงเซิ่นอุ้ยฟัง ได้กล่าวถึงตำรับยาจากเห็ดหลินจือไว้ 2 ขนาน คือ ยาเม็ดจื่อจือ ใช้รักษาอาการอ่อนเพลีย มือ-เท้าเย็น ปวดข้อ ทำให้สดชื่น ผิวหนังเปล่งปลั่ง รวมทั้งตำรับยาเซิ่นตานฟัง ซึ่งมีฐานะเป็นยาเทวดา
* ปี ค.ศ. 1578 หลี่สือเจิน ปรมาจารย์ด้านการแพทย์แผนจีนแห่งราชวงศ์หมิง ย้ายเห็ดหลินจือจากประเภทหญ้าซึ่งเป็นยา มาเป็นอาหารเพื่อสุขภาพและประเภทผัก พร้อมทั้งแนะนำว่า การรับประทานเห็ดหลินจือ
เป็นประจำจะทำให้ตัวเบา ไม่แก่ชราตามอายุ และจะกลายเป็นเซียนหรือเทวดาได้ อีกทั้งยังมีคำพังเพยยุคนั้นที่กล่าวไว้ว่า "จอมจักรพรรดิที่มีความเมตตาปราณี สวรรค์จะส่งเห็ดหลินจือมาเป็นเครื่องกำนัล"
* ปัจจุบัน ยังคงมีคำร่ำลือถึงสรรพคุณการเป็นยาอายุวัฒนะ ยกย่องให้เป็นเห็ดศักดิ์สิทธิ์ สามารถบำบัดรักษาโรคได้นานาชนิด ผู้รู้บางท่านถึงขนาดเปรียบเปรยคุณค่าของเห็นหลินจือให้ฟังว่า "หากคนไทยยกย่องช้างเผือกเป็นสิ่งล้ำค่า ถ้าพบเจอเมื่อใดก็ต้องนำขึ้นทูลเกล้าถวายองค์พระมหากษัตริย์แล้วไซร้ ชาวจีนก็เฉกเช่นกัน เมื่อมีเห็ดหลินจือไว้ในครอบครองก็ต้องนำขึ้นทูลเกล้าถวายองค์ฮ่องเต้" แม้แต่รูปปั้นกังใสหรือเทพเจ้า "ฮก ลก ซิ่ว" ซึ่งมีความหมายบ่งบอกถึงความเป็นสิริมงคลก็ยังมีเทพเจ้าบางองค์ถือเห็ดหลินจืออยู่ในมือ
ข้อความข้างต้น อาจถูกใครหลายคนประเมิณเป็นเพียงตำนานเก่าแก่ที่กล่าวยกย่องสรรพคุณเห็ดหลินจือสมุนไพร โบราณกันจนเกินจริงแต่เชื่อหรือไม่ว่าในโลกแห่งความจริงยุคปัจจุบัน คุณค่าของเห็ดหลินจือก็แทบไม่แตกต่างไปจากที่กล่าวขานกันมาแต่โบร่ำโบราณเลย เมื่อมีผลงานการทดลองทางวิทยาศาสตร์มากมายให้การยืนยันยอมรับในคุณค่าความมหัศจรรย์แห่งการบำบัดรักษาโรคด้วย "เห็ดหมื่นปี" ชนิดนี้
ตามรอยเห็ดหลินจือ
จากประวัติศาสตร์อันยาวนาน เห็ดหลินจือเป็นยาจีน (Chinese Traditional Medicine) ที่ได้รับการจดบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกในสมัยจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ (กว่า 2,000 ปี ล่วงมาแล้ว) นับเป็นของหายากและมีคุณค่าสูงล้ำในยุคนั้น เนื่องจากสามารถรักษาโรคต่างๆ ได้อย่างกว้างขวาง ไร้สารพิษใดๆ มีความปลอดภัยสูง สามารถรับประทานต่อเนื่องได้ในระยะยาว
แม้แต่ "เสินหลงเปิ่นเฉ่า" คัมภีร์ด้านการแพทย์ที่ครบถ้วนสมบูรณ์และคงความเก่าแก่ที่สุดของจีน ซึ่งรวบรวมตัวยาไว้ถึง 365 ชนิด ก็ยังยกให้เห็ดหลินจือเป็นสมุนไพรชั้นสูง อยู่เหนือสมุนไพรจีนด้วยกัน อีกทั้งยังกล่าวว่าเป็น "เทพเจ้าแห่งชีวิต" มีพลังมหัศจรรย์ในการบำรุงร่างกาย ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง มีความทรงจำที่ดี ประสาทสัมผัสชัดเจนขึ้น บำรุงการไหลเวียนของโลหิต ผิวพรรณ เปล่งปลั่ง สีหน้าแจ่มใส และช่วยชะลอความชรา
ส่วนสรรพคุณอื่นๆ ซึ่งได้มีการเก็บรวบรวมไว้ในปัจจุบันได้แก่ การรักษาและต้านทานการเกิดมะเร็ง ตับแข็ง ตับอักเสบ บำรุงไต ขับปัสสาวะ ปรับความดันโลหิต (ทั้งสูงและต่ำ) แก้ปัญหาภาวะการมีบุตรยาก การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ โรคภูมิแพ้ โรคประสาทลมบ้าหมู เส้นเลือดหัวใจตีบ เส้นเลือดอุดตันในสมอง อัมพฤกษ์ อัมพาต ปวดข้อ ปวดประจำเดือน ริดสีดวงทวาร อาหารเป็นพิษโรคเอสแอลอี บำรุงสายตา ฯลฯ
ปัจจุบัน นับได้ว่าเห็ดหลินจือเป็นสมุนไพรที่มีรายงานการวิจัยและผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ออกมาอย่างต่อเนื่อง และมีเป็นจำนวนมากติดอันดับต้นๆ ของโลก โดยมีสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมและให้สรรพคุณทางยาสูง คือ กาโนเดอร์มา ลูซิดัม (Ganoderma lucidum)
...อาจกล่าวได้ว่าพืชสมุนไพรที่ถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมในการปรุงยามากที่สุด ก็คือสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรฟังไจ (อันได้แก่สิ่งมีชีวิตเล็กกระจิริดอย่างเห็ดรา) นามว่าเห็ดหลินจือชนิดนี้นั่นเอง
เห็ดหลินจือในเมืองไทย
ข้อมูลจากการสำรวจผืนป่าได้เปิดเผยให้ทราบว่า พื้นที่ป่าหลายแห่งของไทยต่างก็มีเห็ดหลินจือหลายสายพันธุ์เติบโตงอกงามอยู่ด้วย หรือแม้แต่ในแหล่งชุมชนอันมีผู้คนอยู่อาศัย ก็สามารถพบเเห็ดหลินจือชนิดนี้ปรากฎกายอยู่ได้เช่นกัน
เห็ดหลินจือ (Lingzhi) คือ ชื่อที่ชาวไทยใช้เรียกเห็ดหลินจือชนิดนี้ (เห็ดหลินจือหรือลิงชิในจีน, มันเน็นทาเกะในญี่ปุ่น, แลกเคอร์เรดมัชรูมหรือโฮลี่มัชรูมในอังกฤษ) พร้อมมองสมญานามให้ว่าเห็ดหมื่นปีหรือเห็ดอมตะจากโครงสร้างของดอกเห็ดซึ่งแห้งและแข็งเหมือนไม้ ทำให้คงสภาพเดิมอยู่ได้นานนับชั่วชีวิตคน ผนวกกับคำว่าหมื่นปีเป็นคำมงคล สอดคล้องกับสรรพคุณการเป็นยาอายุวัฒนะ โดยมิได้สื่อความหมายว่าเห็ดหมื่นปีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาตินี้ จะมีอายุยาวนานถึงหมื่นปีแต่อย่างใด
ตำนานการใช้เห็ดหลินจือในไทยมีการกล่าวถึงอยู่บ้างเช่นกัน แม้จะมิได้เก็บรวมรวมไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แต่จากการลาดตระเวนสำรวจพันธุ์เห็ดหลินจือและสอบถามข้อมูลจากชาวบ้านหลากหลายพื้นที่ พบว่ามีการใช้เห็ดหลินจือชนิดนี้ในการบรรเทารักษา อาการหวัด ป้องกันฝ้า แก้พิษงู เห็ดพิษ แมลงสัตว์กัดต่อย บำรุงกำลัง แก้ปวดหลัง รวมทั้งใช้รักษาโรคภายในที่คาดว่าจะเป็นเนื้องอกและมะเร็งมาเนิ่นนานแล้ว
เหตุใดจึงรักษาได้หลายโรค
อาจารย์มงคลศิลป์ บุญเย็น ผู้อำนวยการมูลนิธิการแพทย์ทางเลือกเพื่อมะเร็งบอกเล่าถึงความสำคัญของเห็ดหลินจือให้ฟังว่า "เห็ดหลินจือถือเป็นสมุนไพรหลัก เรียกได้ว่าเป็น "หัวหน้ายา" ของผมเลยทีเดียว ใช้บำรุงร่างกายและรักษาโรคร้ายได้แทบทุกชนิด แม้แต่โรคที่ไม่อาจใช้เห็ดหลินจือรักษาได้โดยตรง เมื่อนำมาใช้เป็นตัวเสริมเพิ่มเข้าไปในสูตรยาเฉพาะทาง ก็สามารถช่วยให้หายจากอาการป่วยได้เร็วขึ้น"
"เหตุใดเห็ดหลินจือจึงรักษาได้หลายโรค" คำถามสั้นๆ ข้างต้น เป็นคำถามสำคัญที่พบได้บ่อยที่สุดคำถามหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งเมื่อวิเคราะห์ดูให้ดีจะพบว่าสามารถทำความเข้าใจได้ไม่ยาก
"แผนปัจจุบัน ยาแต่ละเม็ดมียาอยู่เพียงตัวเดียวจึงรักษาได้เพียงโรคเดียว ขณะที่สมุนไพรมีสารออกฤทธิ์หลายสิบชนิด จึงไม่แปลกที่สมุนไพรสามารถรักษาได้หลายโรค" นายแพทย์บรรเจิด ตันติวิท แพทย์แผนปัจจุบันผู้เขียนหนังสือ "เห็ดหลินจือกับข้าพเจ้า" กล่าว
เมื่อนักวิทยาศาสตร์ตัดสินใจนำสารสกัดจากเห็ดหลินจือไปค้นคว้า สิ่งที่พบก็คือ สรรพคุณทางยาอันหลากหลายที่อัดแน่นอยู่ในอณูเนื้อของเห็ดหมื่นปีชนิดนี้ สารบางอย่างออกฤทธิ์โดยตรงระบบคุ้มกัน บางอย่างกระตุ้นการทำงานของร่างกาย ปรับสมดุลให้ทำงานได้อย่างเป็นปกติ สารบางอย่างทำหน้าที่ลดระดับน้ำตาลในเลือด ทำลายเซลล์มะเร็ง และยังมีอีกหลายอย่างที่สารสกัดจากเห็ดหลินจือทำได้
คำกล่าวที่ว่า เห็ดหลินจือรักษาได้หลายโรค จึงไม่ใช่เรื่องอวดอ้างเกินจริงแต่อย่างใด
"โอสถสาร"
สารออกฤทธิ์ สำคัญทางยา
เป็นเวลาเนิ่นนานหลายสิบปีมาแล้วที่ทีมแพทย์และคณะวิจัยของประเทศจีน เกาหลี ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ฯลฯ ได้ศึกษาค้นคว้าหาสาเหตุแห่งการออกฤทธิ์และสรรพคุณทางยาจากเห็ดหลินจือ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1958 อาจกล่าวได้ว่าญี่ปุ่นเป็นชาติแรกที่เผยแพร่รายงานการค้นพบ "โอสถสาร" หรือสารออกฤทธิ์สำคัญทางยาที่สำคัญของหลินจือ ซึ่งในปัจจุบันพบว่ามีอยู่มากมายถึง 150 ชนิดเลยทีเดียว
เราสามารถจำแนกสารออกฤทธิ์ดังกล่าวได้เป็น 5 กลุ่ม ดังต่อไปนี้ (การจำแนกอาจเปลี่ยนแปลง - เพิ่มเติมได้ตามองค์ความรู้)
1. กลุ่มสารไตรเทอร์ปินนอยด์ชนิดชม (Bitter Triterpenoids)
เป็นสารรสขมซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ที่ดอกและก้าน จัดเป็นโอสถสารกลุ่มใหญ่ที่สุดในเห็ดหลินจือ คือมีอยู่ราว 100 ชนิด ใช้ในการรักษาโรคภูมิแพ้ (ยับยั้งการหลั่งของสารฮิสตามีน ตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดปฎิกิริยาภูมิแพ้) ลดความดันโลหิต ลดไขมันอุดตันในเส้นเลือด ต้านทานสารพิษที่มีผลเสียต่อตับ ยังยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งในตับ สารสำคัญในกลุ่มนี้ได้แก่ กรดกาโนเดอรคิ และกรดลูซิเดนิค
ปัจจุบัน มีการผลิดยาสมุนไพรจากเห็ดหลินจือ เพื่อใช้เป็นยาบำรุงตับอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในกลุ่มที่เป็นโรคตับแข็ง ตับอักเสบและผู้ที่ชอบดื่มสุรา ทั้งนี้ ได้มีการจดสิทธิบัตรสารไตรเทอร์ปินนอยด์แฟรกชั่นจากเห็ดหลืนจือ เพื่อใช้เป็นยาลดความดันโลหิต รวมทั้งสิทธิบัตรสารกาโนโดสเตอโรน เพื่อใช้ผลิตเป็นยาเม็ด กระตุ้นการทำงานของตับด้วย
โอสถสารรสชาติขมในกลุ่มนี้ เคยได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นตัวยาสำคัญที่ใช้ในการรักษาโรค แต่จากการค้นคว้าอย่างละเอียดกลับพบว่ายังมีสารอื่นๆ อีกหลายชนิดที่แม้จะปราศจากรสขม แต่ก็ให้สรรพคุณทางยาที่สำคัญไม่แพ้กัน
2. สเตอรอยด์ (Steroids) เรียกได้ว่าเป็น "สเตอรอยด์ธรรมชาติ" หรือ "สเตอรอยด์พันธุ์ดี" ที่มีอยู่ในพืช แตกต่างจากสเตอรอยด์พันธุ์สักงเคราะห์ฝีมือมุนษย์ ซี่งคิดภาพลักษณ์ของความเป็นผู้ร้ายมาเสียมากกว่า
สารสำคัญในกลุ่มนี้ที่สามารถพบได้ในเห็ดหลินจือรวมทั้งเห็ดหรือราทั่วไป คือเออร์โกสเตอรอลหรือโปรวิตามินดี 2 ซึ่งร่างกายจะเก็บสะสมไว้ใต้ผิวหนัง เมื่อได้รับรังสีอุลตราไวโอเลตจากแสงแดดก็จะสังเคราะห์เป็นวิตามินดี ทำหน้าที่ช่วยในการดูดซึมของแคลเซียมฟอสฟอรัสในลำไส้ เสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟัน ป้องกันและรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับกระดูก (โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในช่วงวัยทอง) ได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ ยังมีสเตอรอยด์บางชนิดที่ตรวจพบในเห็ดหลินจือเท่านั้น คือ กาโนสเตอโรน ซี่งมีฤทธิ์ลดสารพิษที่มีผลต่อตับ ใช้เป็นยากบำรุงตับในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็งหรือตับอักเสบ
3. กลุ่มสารนิวคลีโอไทด์ (Nucleotides) มีการค้นพบสารอินทรีย์อะดีโนไซน์ในเห็ดหลินจือ ซึ่งทำหน้าที่กักเก็บพลังงานจากการหายใจ พร้อมไว้สำหรับการแตกตัว ก่อให้เกิดพลังงานในระดับสูงเมื่อร่างกายต้องการ
อะดีโนไซน์มีส่วนช่วยในการบรรเทาความเจ็บปวด และมีฤทธิ์เช่นเดียวกับกัวโนไซน์ (นิวคลีโอไทด์อีกชนิด) ในการยับยั้งการรวมกลุ่มกันของเกร็ดเลือด อันหมายถึงประสิทธิภาพในการป้องกันการอุดตันของลิ่มเลือดภายในเส้นเลือด บรรเทาการเกิดโรคอัมพาตและอัมพฤกษ์
นอกจากนี้ยังมีการค้นพบสารอัลคาลอยด์ที่มีฤทธิ์ในการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ลดอัตราการใช้ก๊าซออกซิเจนกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้หัวใจมีภาวะความทนทานต่อการขาดออกซิเจนได้เป็นเวลานานอีกทั้งยังมีการค้นพบสารสำคัญอื่นๆ ในกลุ่มนี้ที่มีสรรพคุณยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัสได้ดีอีกด้วย
4. สารประกอบเยอร์มาเนียม (Germanium, Gc contents)
เราสามารถพบธาตุแข็งที่ชื่อเยอร์มาเนียมได้ในโสม กระเทียม แต่ะจะพบได้มากเป็นพิเศษในเห็ดหลินจือ ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับโดยอัตราส่วนน้ำหนักต่อน้ำหนักแล้ว จะพบว่าภายในเห็ดหลินจือมีเยอร์มาเนียมเป็นส่วนประกอบอยู่มากกว่าโสมราว 6 เท่าเลยทีเดียว สรรพคุณของสารประกอบเยอร์มาเนียม คือ การสร้างระบบการทำงานของร่างกายให้ทำงานร่วมกันได้อย่างสอดคล้อง กำจัดสารพิษและสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย
ปัจจุบัน มีการนำมาใช้ร่วมกันกับยาแผนปัจจุบัน เพื่อกำจัดพิษทุเลาความเจ็บปวดในการรักษาผู้ป่วนโรคมะเร็ง
5. กลุ่มสารโพลิแซ็กคาไรด์ (Polysaccharides) สารกลุ่มนี้มีหลายชนิดที่ให้สรรพคุณทางยา อาทิ การโนเดอแรนส์ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยการเพิ่มปริมาณสารอินซูลินที่ทำหน้าที่ควบคุมปริมาณน้ำตาลให้เหมาะสม จึงช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน
เบต้าดีกลูแคนและพอลิแซ็กคาไรด์ (หลายชนิด) ทำงานร่วมกันในการเพิ่มอัตราการสังเคราะห์โปรตีนในเลือด ไขกระดูก และตับ ลดภาวะการอักเสบ กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวชนิดบีเซลล์และทีเซลล์ อันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เห็ดหลินจือมีประสิทธิภาพในการเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค ลดภาวะแทรกซ้อนจากการทำเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัดในผู้ป่วยโรคมะเร็งได้
นอกจากนี้ยังมีสารกึ่งเซลลูโลส ซึ่งเป็นอาหารประเภทมีกากที่ช่วยลดอันตราการเกิดมะเร็ง และพอลิแซ็กคาไรด์บางชนิด ช่วยเพิ่มความแรงในการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ
นอกเหนือจากสารสำคัญ 5 กลุ่มดังที่กล่าวมาแล้ว เห็ดหลินจือยังมีสารและองค์ประกอบอื่นๆ อีก ที่ไม่อาจถูกจัดเข้าสู่กลุ่มใด อาทิ สารที่มีฤทธิ์ต้านทานความพิการของทารกในครรถ์ สารที่มีคุณสมบัติเป็นยาปฏิชีวนะทำหน้าที่ย่อยสลายเชื้อแบคทีเรีย สารที่ช่วยระงับอาการไอ ขับเสมหะ รวมถึงสารที่มีคุณสมบัติเด่นในการชะลอความชรา
จะเห็นได้ว่าสรรพคุณทางยาของเห็ดหลินจือมีมากมายหลายประการ เปรียบได้ดั่งยาครอบจักรวาล ทั้งในด้านการป้องกันและบำบัดรักษา สิ่งนี้เองคือเหตุผลสำคัญในการดำรงอยู่ของเห็ดหลินจือ ในฐานะสมุนไพรสำคัญในประวัติศาสตร์การแพทย์แผนตะวันออกที่สืบทอดกันมาเนิ่นนานนับพันปี
หายป่วย ด้วยเห็ดหลินจือ
นายแพทย์บรรเจิด ตันติวิท แพทย์แผนปัจจุบันผู้เขียนหนังสือ "หลิงจือกับข้าพเจ้า" เป็นผู้หนึ่งซึ่งตัดสินใจรับประทานเห็ดหลินจือ ภายหลังจากที่ได้ศึกษาค้นคว้าจนเกิดความมั่นใจในสรรพคุณทางยาและการปราศจากพิษ
"เมื่อตัดสินใจทานหลิงจือ ผมคิดเพียงว่าจะให้มันช่วยบำรุงสุขภาพเท่านั้น ไม่เคยคิดจะให้รักษาโรคหรืออาการของผมเลย โดยปกติแล้ว ยาบำรุงต่างๆ เมื่อทานเข้าไป ผลที่ได้จะไม่สามารถมองเห็ฯได้อย่างชัดเจน อย่างน้อยก็ไม่รวดเร็วทันตาเหมือนยารักษาโรค แต่สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจมากภายหลังการทานเห็ดหลิงจือ คือ อาการหลายอย่างที่เป็นมานานหลายสิบปี เช่น มือสั่นหรือกัดปากตัวเองหายไป ต่อมน้ำเหลืองหลังต้นคอด้านขวาที่เคยอักเสบหดเล็กลงจนเกือบคลำไม่พบ"
นายแพทย์บรรเจิดแสดงทรรศนะในเรื่องดังกล่าวว่า
อาการมือสั่นมีหลายชนิด เกิดจากสาเหตุต่างๆ กัน ทั้งที่เป็นโรคและมิใช่โรค อีกทั้งยังมีสารบางชนิดที่ทำให้มือสั่นได้ อาทิ อดรีนาลีน (Adrenaline) เป็นต้น
สำหรับอาการมือสั่นของนายแพทย์วัย 74 ปี เป็นชนิดที่เรียกว่า "Familial Tremor" ซึ่งนับเป็นโรคกรรมพันธุ์ น้องและลูกทั้ง 4 คน (จากทั้งหมด 5 คน) ก็มีอาการเช่นกัน "อาการนี้จะเป็นมากเมื่อหิวหรือตื่นเต้นบางครั้งเป็นหนักถึงขั้นทำให้ผมเขิน เพราะขณะที่ยื่นมือไปตักแกง มือผมสั่นจนแกงหกต่อหน้าต่อตาแขกร่วมโต๊ะ"
แต่หลังจากเริ่มทานเห็ดหลินจือไประยะหนึ่ง อาการดังกล่าวก็หายไป
"อาการมือสั่นของผม คิดว่าคงเกี่ยวข้องกับอดรีนาลีน สารชนิดนี้จะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของหัวใจและทำให้กล้ามเนื้อเกิดความตื่นตัวสูง (เช่นเดียวกับ ยาบ้า ก็คือสารประเภทนี้นี่เอง) ซึ่งร่างกายของผมอาจมีแนวโน้มในการผลิตสารนี้มากไป"
แล้วเห็ดหลินจือเข้าไปทำอะไร จนทำให้อาการมือสั่นหายไปได้
"เป็นที่ยอมรับว่าเห็ดหลินจือมีผลทางการระงับประสาท อาจเป็นสารชนิดเดียวกับที่พบในชาจีน คือ ธีแอนิน (Theanine) ซึ่งให้ผลตรงข้ามกับคาแฟอีนที่ทำให้ประสาทตื่นตัวและเกิดการเสพติด"
"รวมทั้งสรรพคุณเห็ดหลินจือด้านการควบคุมการทำงานของสมอง ประสาท และกล้ามเนื้อ ทำให้อาการกัดปากตัวเองเป็นประจำของผมหายไป โรคพาร์กินสัน ซึ่งเกิดจากการประสานงานของกล้ามเนื้อบกพร่อง เห็ดหลินจือก็น่าจะช่วยได้"
อีกกรณี คือ ต่อมน้ำเหลืองหลังต้นคอด้านขวาที่เคยอักเสบ หดเล็กลงจนเกือบคลำไม่พบ นายแพทย์บรรเจิดไขข้อข้องใจให้ดังนี้
"เป็นเรื่องน่ายินดีที่ต่อมน้ำเหลืองหลังต้นคอด้านขวา ซึ่งเป็นมาตั้งแต่ยังเรียนหนังสือได้หดเล็กลง ปกติแล้ว ต่อมน้ำเหลืองเมื่อเกิดการอักเสบ หลังจากหายจะมีเส้นใย "Fibrous Tissue" มาแทนที่ทำให้เกิดเป็นเต้าแข็ง เส้นใยนี้เมื่อมีขึ้นแล้วจะคงอยู่อย่างถาวร ยิ่งนานวันก็ยิ่งแข็ง"
"การที่เห็ดหลินจือทำให้ต่อมน้ำเหลืองของผม ซึ่งแต่เดิมเคยมีขนาดประมาณ 1 เซนติเมตร หดเล็กลงจนเกือบคลำไม่พบได้นั้น น่าจะมีความหมายในทางการแพทย์ ซี่งผมได้ตั้งเป็นทฤษฎี (ความเห็น) ที่ชื่อ "ทฤษฎีใยแผลเป็น" ขึ้นมา"
ทฤษฎีใยแผลเป็นของคุณหมอ กล่าวถึงการที่เนื้อเยื่อหรืออวัยวะใดๆ (ทั้งภายในและภายนอก) เมื่อถูกทำลายจากการบาดเจ็บ อักเสบ หรือสารพิษแล้ว หลังจากได้รับการบำบัดซ่อมแซมด้วยเส้นใยใหม่ (เป็นกรรมวิธีตามธรรมชาติของร่างกาย) จะก่อใหเกิดแผลเป็นขึ้นมา บางครั้ง "ใยแผลเป็น" นี้เองที่สร้างปัญหาในการทำงาน (เช่น ไปเหนี่ยวรั้ง ดึง เบียด ให้เนื้อเยื่อเสียรูปทรง) ขณะที่เห็ดหลินจือสามารถละลายเส้นในให้กลายเป็นใยแผลที่อ่อนนิ่มและหดตัวเล็กลงได้
"ผมคิดว่าสารสเตอรอยด์ธรรมชาติในเห็ดหลินจือมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดผลเช่นนี้ เช่นเดียวกับสเตอรอยด์สังเคราะห์ในยาแผนตะวันตกที่ผมเคยใช้รักษาแผลเป็น (ที่โตผิดปกติ) บนผิวหนัง เมื่อฉีดสเตรอยด์สังเคราะห์เข้าไป แผลเป็นจะนิ่มลงและหดตัว สรรพคุณนี้ทำให้เห็ดหลินจือมีคุณประโยชน์มาก โรคทั้งหลายที่มีใยแผลเป็นต้นเหตุ หรือต้องการหาวิธีป้องกันไม่ให้เกิดแผลเป็นมากเกินไป เห็ดหลินจือน่าจะช่วยได้"
โรคอื่นๆ ที่เห็ดหลินจือ ช่วยรักษาได้
นอกจากผลลัพธ์ในการใช้เห็ดหลินจือ ซึ่งนายแพทย์บรรเจิด ตันติวิท ได้ประสบพบพานกับตนเองโดยตรงแล้ว ยังมีข้อมูลอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกหลายประการด้วยกัน อาทิ ทฤษฎี(ความเห็น) เกี่ยวกับกลไกการทำงานของเห็ดหลินจือ (นอกเหนือจากทฤษฎีใยแผลเป็น ยังมีทฤษฎีขับพิษ ทฤษฎีเกร็ดเลือด ทฤษฎีประหยัดออกซิเจน ฯลฯ หาอ่านเพิ่มเติมได้ในหนังสือ "หลินจือกับข้าพเจ้า" นอกจากนี้ยังมีกรณีศึกษาเกี่ยวกับโรคที่ใช้เห็นหลินจือช่วยได้อีกด้วย
  • มะเร็ง
ผู้ป่วยรายหนึ่งเป็นมะเร็งสมอง แพทย์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา ได้ให้การรักษาด้วยวิธีมาตรฐาน คือ ผ่าตัด ฉายแสง และคีโม หลังจากมีอาการดีขี้นราวหนึ่งปี มะเร็งร้ายก็กลับมาอีกครั้ง ในครั้งนี้แพทย์ต้องตัดสินใจหยุดการให้คีโมหลังทำการรักษาเพียง 2 ครั้ง เนื่องจากฤทธิ์ของคีโมไปทำลายระบบหายใจ พร้อมกันนั้นได้แจ้งกับพ่อแม่ให้ทราบว่าบุตรชายของตนอาจมีอายุต่อได้อีกไม่กี่สัปดาห์
แต่หลังจากตัดสินใจทานเห็ดหลินจือ ภายใต้เงื่อนไข 2 ประการ คือ ต้องเป็นหลินจือที่มีคุณภาพสูง และต้องทานวันละ 20 แคปซูล เมื่อผ่านพ้นไป 3 ปี คนไข้รายนี้ก้อยังมีชีวิตอยู่ได้
อาจกล่าวได้ว่า เห็ดหลินจือช่วยทำให้เซลล์มะเร็งหยุดการเจริญเติบโต หรือในผู้ป่วยบางราย มะเร็งาอาจหดหายไปเลยทีเดียว โดยทุกรายที่ทานเพื่อรักษามะเร็งนั้นจะต้องทานเป็นจำนวนมากเพื่อให้ได้ระดับที่ต้องการ อาจมากถึงวันละ 60 แคปซูล หรืออย่างน้อยก็ต้องเกิน 20 แคปซูล
  • ตับแข็ง
ผู้กว้างขวางในสังคมปีนังรายหนึ่ง ป่วยด้วยโรคตับแข็งจากการดื่มเหล้า แม้แต่ยาบำรุงตับ Essential ก็มิอาจช่วยได้ โชคยังดีที่ผู้ป่วยรายนี้ได้ทำความรู้จักกับเห็ดหลินจือ
หลังจากการปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญโดยการทานวันละ 4 แคปซูล เมื่อผ่านพ้นไป 7 วัน อาการหัวเข่าอักเสบ มีน้ำบวนทั้ง 2 ข้างซึ่งเป็นโรคประจำตัวอีกอย่างหนึ่งก้อหายไป พร้อมทั้งสังเกตเห็นว่า อาการตับของเขาดีขี้นด้วย ผู้ป่วยรายเดิมตัดสินใจทานเห็ดหลินจือต่อไป วันละ 6 แคปซูล ช่วยให้อาการตับแข็งของเขาดีขึ้นเรื่อยๆ และสามารถหายเป็นปกติได้ในเวลา 6 เดือน
เห็ดหลินจือมีสรรพคุณอย่างน้อย 3 ประการด้วยกันที่ช่วยรักษาโรคตับแข็งได้ คือ หนึ่ง ช่วยขจัดสารอนุมูลอิสระ (Face Radical) หรือโมเลกุลที่ไม่มีเสถียรภาพอันเกิดจากการใช้ออกซิเจนเป็นเชื้อเพลิง สอง ช่วยทำให้ใยแผลเป็นอ่อนนิ่ม คลายตัว ไม่รัดเส้นเลือดและเนื้อเยื่อของตับ สาม ช่วยกระตุ้นให้ตับเกิดการสร้างเซลล์ใหม่
  • ภูมิเพี้ยน
ตัวอย่างของโรคในกลุ่มนี้ที่รู้จักดีคือโรค SLE หรือโรคพุ่มพวงนั่นเอง เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันที่เคยทำหน้าที่ขจัดสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย หันกลับมาทำร้ายเนื้อเยื่อของเราเอง
ผู้ป่วยชายเยอรมัะนรายหนึ่ง อายุ 66 ปี ป่วยด้วยโรคนี้ และมีอาการท้องเสียบ่อยและถ่ายออกมาเป็นเลือดแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพยายามรักษาด้วยยาต่างๆ บางครั้งก็ใช้สเตอรอยด์แต่ไม่ได้ผล ในที่สุดแพทย์แนะนำให้ทำการผ่าตัด แต่ผู้ป่วยปฎิเสธเนื่องจากต้องการเข้ารับการรักษาโดยการแพทย์ทางเลือก และแล้ว... หลังจากทานหลินจือได้ 1 เดือน อาการท้องเสียของเขาก็หายไป ก่อนจะหายเป็นปกติใน 10 เดือน
ในเห็ดหลินจือมีโปรตีนชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า "Lz-8" โปรตีนนี้มีคุณสมบัติปรับภูมิเพี้ยนให้กลายเป็นปกติได้ อีกทั้งยังมีสเตอรอยด์ธรรมชาติที่คงจะมีส่วนช่วยด้วยเช่นกัน เช่นเดียวกับการรักษาโรคภูมิเพี้ยนอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน เช่น SLE รูมาดอยด์
  • เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
ผู้ป่วยรายหนึ่งอายุ 50 ปี (เป็นเบาหวานมานาน 10 ปี) นอกเหนือจากยารักษาเบาหวานแล้ว ผู้ป่วยรายนี้ยังรับยาตามศาสตร์การแพทย์ทางเลือก ประกอบด้วยวิตามิน สารต้านอนุมูลอิสระ รวมทั้งเห็ดหลินจือ
ผู้ป่วยรายเดียวกันเปิดเผยให้ทราบว่า หลังจากทานเห็ดหลืนจือแล้วความต้องการทางเพศของเขาสูงขึ้นอย่างมาก จากเดิมเคยมีเพศสัมพันธ์สัปดาห์ละ 1 ครั้งเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นสัปดาห์ละ 5 ครั้ง และต้องปรึกษาแพทย์ว่ามาเกินไปหรือไม่
  • แก้ภูมิแพ้
คุณโสภา ประภัสสราวุธ วัย 55 ปี ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์แคปซูลสกัดจากเห็ดหลินจือมานาน เล่าประสบการณ์ใช้เห็ดหลินจือของตนให้ฟังว่า "นับจากอายุ 20 ปีเป็นต้นมา ตนเองมีปัญหาด้านสุขภาพมาโดยตลอด โดยมีโรคที่เป็นหนักอยู่ในตอนนี้คือภูมิแพ้ ท้งแพ้อากาศ อาหาร ความเย็น ความร้อน รวมถึงควันพิษ เมื่อมีอาการครั้งใดก็จะรู้สึกอัดอัดจนหายใจไม่ออก แสบตาจนน้ำตาไหล หลายครั้งถึงขนาดต้องรีบเดินทางไปพบแพทย์เพื่อนำสายออกซิเจนเข้าครอบจมูก"
"หลังจากทานสารสกัดเห็ดหลินจือติดต่อกัน อาการก็เริ่มดีขึ้น รู้สีกได้ถึงการไหลเวียนของเลือด ความสมดุลในร่างกาย หายใจโล่งขึ้น เลิกงานดึกก้อสามารถาอาบน้ำเย็นได้ จากที่ครั้งหนึ่งเคยเข้ารับการผ่าตัดจนรู้สึกเหมือนมีเข็มทิ่งแทงที่ปอดอยู่ตลอดเวลา ปัจจุบันอาการดีขึ้นมาก ยาเคมีทั้งหลายมีเคยทานและฉีดเข้าร่างการเป็นประจำจนรู้สึกปวดกระดูก ปวดฟัน ฟันหัก ผิวเสีย เป็นภูมิแพ้ ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป โดยที่ยังมีการตรวจเช็คร่างกายที่โรงพยาบาลอยู่เสมอ ซึ่งแพทย์ก็บอกว่าเป็นปกติดี"
  • บำรุงหัวใจ
ยิ่งไปกว่านั้น คุณประโยชน์ที่ได้รับกับคุณแม่ของคุณโสภาวัย 80 ปี ก็ชัดเจนไม่แพ้กัน
"คุณแม่ท่านป่วยด้วยโรคหัวใจ หมอให้ยารักษาจนตัวบวมไปหมด สุดท้ายแล้วก็แนะนำให้ทำบาสพาส (การผ่าตัดรักษาโรคหัวใจวิธีหนึ่ง) เราเองเคยเห็นผู้ป่วยที่มีอายุไล่เลี่ยกับคุณแม่ผ่าตัดได้ไม่นานก็เสียชีวิตเนื่องจากร่างกายทนแบกรับภาระหลังการผ่าตัดไม่ไหว จึงไม่เห็นด้วยกับวิธีดังกล่าว และเริ่มต้นให้ท่านทานสารสกัดจากเห็ดหลินจือ"
"จากที่เริ่มต้นทานเพียงคราวละ 1 แคปซูล (เพราะเกิดความอ่อนเพลีย ทรงตัวลำบาก เสียงหาย) ภายหลังร่างกายของท่านก็เริ่มปรับตัว สามารถรับยาได้ จึงค่อยเพิ่มปริมาณให้ ปัจจุบันท่านแข็งแรงดี มีชีวิตที่เป็นปกติได้โดยไม่ต้องผ่าตัดหัวใจบายพาส" คุณโสภากล่าว เธอใช้ผลิตภัณฑ์สารสกัดจากเห็ดหลินจือยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งมีส่วนผสมของเห็ดหลินจือ 6 สายพันธุ์ ได้แก่ จินซัน ยูอี และสายพันธุ์ที่มีลักษณะรูปร่างคล้ายปากหัวใจ สมอง และหางนกยูงรำแพน
บริโภคอย่างไร ให้ได้ประโยชน์สูงสุด
แม้เราจะไม่สามารถนำเห็ดหลินจือมาปรุงเป็นอาหารรับประทานได้โดยตรง เนื่องจากคุณลักษณะตามธรรมชาติขชองเนื้อเห็ดที่คงความแข็งเหนียว และขม ดังคำกล่าวของอาจารย์มงคลศิลป์ บุญเย็น ผู้เชี่ยวชาญ การปรุงยาสมุนไพรท่ว่า "หากผู้ใดต้องการใช้มีสับเห็ดหลินจือให้ขาด ก้อจำเป็นต้องนำเห็ดไปแช่น้ำนานสองวันสองคืนเสียก่อน หรือถ้าจะนำเห็ดชนิดนี้ไปต้ม เนื้อเห็ดที่ได้กลับยิ่งทวีความแข็ง และเหนียวจนเหมือนยางแตกต่างจากเห็นชนิดอื่นที่นิยมนำมาประกอบอาหารอย่างเห็นได้ชัด"
แต่ก็ยังมีผู้สนใจศีกษาค้นคว้าหาคุณค่าทางโภชนาการของเห็ดหลินจือ (นอกเหนือจากโอสถสารหรือสารสำคัญที่มีฤทธิ์ทางยา) ซึ่งก็พบว่า ภายในเห็ดหลินจือมี่สารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการไม่แตกต่างไปจากผลิตภัณฑ์ประเภทเสริมอาหารหรือวิตามินรวมแต่อย่างใดเลย
หนึ่งในนั้นเป็นผลงานวิจัยของสถาบันวิจัยโครงสร้างสารแห่งประเทศจีน ณ มณฑลฟูโจว ที่ให้การยืนยันว่า โปรตีนที่พบในเห็ดหลินจือจัดเป็นโปรตินชนิดสมบูรณ์ ได้มาตรฐานตามหลักเกณฑ์ขององค์การอาหารและการเกษตร (FAQ) ไม่ว่าจะเป็น ไอโซลิวซีน ฟีนิลอะลานีน ทริปโตแฟน ฯลฯ แม้แต่ฮีสพีดีน กรดอะมิโนที่มีความสำคัญสำหรับเด็กก็ยังพบได้ในเห็ดหลินจือ นอกจากนี้ ยังอุดมด้วยเกลือแร่ และวินามินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวิตามินบี1 บี2 ดี โคลีน ไนอาซีน อินโนซิทอล
สำหรับปริมาณการบริโภคเห็ดหลินจือ ควรคำนึงถึงจุดประสงค์ว่า ต้องการบริโภคเพื่อรักษาโรคหรือเพื่อบำรุงร่างกายเท่านั้น โดยมีวิธีการบริโภคที่ได้รับความนิยม 3 รูปแบบ คือ
1. รูปแบบยากต้มหรือยาดอง
2. รูปแบบยาสกัดบรรจุแคปซูล
3. รูปแบบยาบดบรรจุแคปซูบ
คุณสมศักดิ์ ชินกร ผู้คลุกคลีกับวงการแพทย์ทางเลือก ธรรมชาติบำบัด และวิจัยเรื่องเห็ดสมุนไพรมานานกว่า 10 ปี ได้ให้ความรู้ไว้ในหนังสือ "เห็ดหลินจือกับการรักษาโรค" ว่า "ทั้ง 3 รูปแบบนี้ การทานเห็ดหลินจือที่ได้ประโยชน์ทางยาน้อยที่สุด คือ การทานยาบดบรรจุแคปซูลเนื่องจากภายในกระเพาะของคนเราไม่สามารถสกัดเอาตัวยาจากเห็ดหลินจือออกมาได้ทั้งหมด จึงเปรียบเสมือนกับการทานขี้เลื่อยหรือไม้หมดจีนโบราณก้ไม่สนับสนุนการทานด้วยวิธีนี้เช่นกัน แต่จะใช้วิธีการต้มหรือดองเหล้า"
ส่วนการทานเห็ดหลินจือสกัดบรรจุแคปซูลจะให้ประโยชน์สูงกว่าการทานเห็ดหลินจือบดบรรจุแคปซูล เนื่องจากมีความเข้มของตัวยามากกว่า
"สมุนไพรสกัด หมายถึง การนำเอาตัวยาของสมุนไพรออกมา แล้วคิดเอากากของสมุนไพรทิ้งไป ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราต้องการทานวิตามินซีวันละ 500 มิลลิกรัม เราอาจจำเป็นต้องทานมะนาววันละ 50 ลูก แต่ 500 มิลลิกรัมเช่นกัน การทานเห็ดหลินจือชนิดที่เป็นยาสกัด จึงให้ผลดีกว่าการทานเห็ดหลินจือที่เป็นแบบบด" คุณสมศักดิ์กล่าว
การเลือกซื้อเห็ดหลินจือชนิดแคปซูล จึงขอแนะนำรูปแบบของยาสกัด ซึ่งมีวิธีการสังเกตและพิสูจน์ ดังนี้
1. วิธีสังเกต ให้ดูที่ฉลากยาข้างขวด ต้องมีการระบุคำว่า "ยาสกัด" ถ้าไม่มีให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นยาบด
2. วิธีพิสูจน์ ทำได้โดยการถอดปลอกแคปซูลออก เทผงยาลงในน้ำร้อน แล้วใช้ช้อนคน หากเป็นยาสกัดจริงจะต้องละลายน้ำได้หมดไม่เหลือกากให้เห็น แต่ถ้าเป็นยาบดจะมีการตกตะกอนให้เห็นเป็นกากมีลักษณะคล้ายขี้เลื่อย ซึ่งประเภทนี้จะให้ประโยชน์ทางยาน้อยมาก
"วิธีนี้เป็นวิธีทดสอบสารสกัดจากเห็ดหลินจือที่ง่ายที่สุด คือ พิจารณาจากสี กลิ่น รส ที่ได้จากการละลายน้ำ กล่าวคือ สีต้องเข้ม รสต้องขม กลิ่นต้องเป็นเอกลักษณ์ หากนำสารสกัดในแคปซูลแต่ละยี่ห้อมาเปรียบเทียบกันด้วยการละลายน้ำ จะสามารถค้นพบความแตกต่างได้ อย่างชัดเจนเลยทีเดียว" อาจารย์มงคลศิลป์ ให้ข้อมูล
ขณะที่การต้มน้ำเห็ดหลินจือดื่มด้วยตนเองก็สามารถทำได้ โดยการนำเห็ดหลินจือราว 20 กรัม (ประมาณ 20 ชิ้น ที่ผ่านการหั่นแล้ว) มาต้มกับน้ำ 2 ลิตรจนเดือด หรี่ไฟลงแล้ว "เคี่ยว" ต่อไปอีกประมาณ 10 นาที (อาจเติมน้ำตาลลงไปเล็กน้อยเพื่อแต่งรสหวาน) สามารถใช้ดื่มต่างน้ำได้ ทั้งนี้ เภสัชกรไทยได้วิจัยและพัฒนาเห็ดหลินจือเป็นเครื่องดื่มกระป๋องและยาชงมานานเกือบ 10 ปีแล้ว
ความนิยมในเห็ดหลินจือคงไม่มีวันสิ้นสุดลงง่ายๆ ตราบเท่าที่คุณค่าและสรรพคุณการบำบัดรักษาโรคสามารถพิสูจน์ได้จริง และช่วยให้ผู้ป่วยหลายรายหายจากโรคร้ายมานักต่อนักแล้ว สมุนไพรชนิดอื่นก็เช่นกัน หากไม่ได้รักการกีดกัน รังเกียจ หันหน้ามาทำการศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง เฉกเช่นเดียวกับที่ได้ปฎิบัติต่อ "เห็ดหลินจือ สมุนไพรหมื่นปี" ก็จะเป็นประโยชน์ต่อวงการแพทย์ไม่น้อยเลยทีเดียว


ที่มา :Ganothai.com and kholyherb.com

เห็ดหอม


ชื่อสามัญ :Shiitake Mushroom
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Lentinus edodes (Berk.) Sing.
ชื่ออื่น : ญี่ปุ่นเรียกว่า ไชอิตาเกะ เกาหลีเรียกว่า โบโกะ จีนเรียกว่าเฮียโกะ
ภูฏาน เรียก ชิชิ-ชามุ อังกฤษเรียกว่า Black Mushroom หรือ เห็ดดำ
ถิ่นกำเนิด: ประเทศจีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย และไต้หวัน
ลักษณะทางพฤกษศาตร์: หมวกเห็ดหอมมีรูปทรงกลม ผิวมีขนรวมกันเป็น เกล็ดหยาบๆ สีขาวกระจายอยู่ทั่วไป ผิวหมวกด้านบนสีน้ำตาล น้ำตาลปนแดงหรือ น้ำตาลเข้ม ครีบดอกเป็นแผ่นบางสีขาว เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเข้ม ก้านดอกมีสีขาวหรือน้ำตาลอ่อน หากปล่อยไว้ให้ถูกอากาศจะเปลี่ยนเป็นสีเข้ม โคนก้านดอกสีน้ำตาลอ่อน เนื้อในสีขาว เห็ดหอมเนื้อนุ่ม มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จึงได้ชื่อว่า เห็ดหอม
ฤดูกาล : ตลอดปีแต่จะให้ผลผลิตดีในช่วบงฤดูหนาว
แหล่งปลูก : ภาคเหนือแถบจังหวัดเชียงใหม่และแม่ฮ่องสอน ภาคอีสานแถบจังหวัดเลยและสกลนคร
สรรพคุณของเห็ดหอม

คนจีนใช้เห็ดหอมเป็นอายุวัฒนะรักษาหวัดทำให้เลือดลมดี แก้โรคหัวใจ ป้องกันการเติบโตของเนื้อร้าย ต้านพิษงู ป้องกันโรคเลือด โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคมะเร็ง โรคร้ายจากเชื้อไวรัส เห็ดหอมมีกรดอะมิโนชื่อ eritadenine ช่วยให้ไตย่อยโคเลสเตอรอลได้ดี มีสารเลนติแนน (Lentinan) ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันให้มีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับเซลล์เนื้องอก


ประโยชน์ของเห็ดหอม

บำรุงสมอง เพิ่มความสดชื่น คึกคัก ลดคอเลสเตอรอล ช่วยในระบบย่อยอาหาร ป้องกันหลอดเลือดแดงแข็งตัว ต้านมะเร็ง รักษาหอบหืด ลดความเครียด ต้านไวรัส บำรุงระบบประสาท ช่วยให้หลับง่าย บำรุงปอด บำรุงหลอดลม ชะลอความชรา ฯลฯ ควรบำรุงสุขภาพด้วยการนำเห็ดหอมมาปรุงอาหารทุก ๆ สัปดาห์เป็นประจำ โดยนำมาปรุงเป็นอาหารจานผัด ๆ ต้ม ๆ แต่ไม่ควรรับประทานในปริมาณมากจนเกินไป


คุณค่าทางอาหารของเห็ดหอม


- เห็ดหอมสด 100 กรัม ให้พลังงาน 387 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย
คาร์โบไฮเดรต 67.5 กรัม โปรตีน 17.5 กรัม ไขมัน 8.0 กรัม เส้นใย 8.0 กรัม วิตามินบี1 1.8 มิลลิกรัม วิตามินบี2 4.9 มิลลิกรัม ไนอะซิน 4.9 มิลลิกรัม แคลเซียม 98 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 476 มิลลิกรัม เหล็ก 8.5 มิลลิกรัม

- เห็ดหอมแห้ง 100 กรัม ให้พลังงาน 375 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย
คาร์โบไฮเดรต 82.3 กรัม โปรตีน 10.3 กรัม ไขมัน 1.9 กรัม เส้นใย 6.5 กรัม วิตามินบี1 0.4 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.9 มิลลิกรัม ไนอะซิน 11.9 มิลลิกรัม แคลเซียม 12 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 171 มิลลิกรัม เหล็ก 4.0 มิลลิกรัม

เมนู เห็ดหอมทอดซีอิ๊ว

1. ก่อนอื่นก็ต้องนำเห็ดหอมแห้งไปแช่น้ำให้นุ่มนิ่มก่อนนะคะ ซาวกับน้ำให้สะอาด แล้วแช่น้ำไว้ประมาณหนึ่งถึงสองชั่วโมง แช่ให้นิ่มจนหลายเป็นเห็ดสด ถ้าไม่นิ่มเวลาทอดเนื้อจะแข็ง 
2. ตั้งกระทะไฟปานกลาง ใส่น้ำมันไปประมาณ ๑ ถ้วยตวง  พอน้ำมันร้อนได้ที่ก็ใส่เห็ดที่พักไว้ลงไปทอดให้มีสีสวย
3. ทอดกลับด้านไปมา พอเห็ดเริ่มเหลืองก็ใช้ตะหลิวหรือกระชอน ช้อนเห็ดขึ้นมาพักในจานที่วางกระดาษซับน้ำมัน รีดน้ำมันออก 
4. ควรรองกระดาษซับน้ำมันหลายชั้นหน่อยนะคะ   จะได้ช่วยซับน้ำมันให้เคลือบผิวเห็ดน้อยที่สุด
5. เทน้ำมันที่ทอดออกไปก่อน  เหลือน้ำมันติดก้นกระทะประมาณ ๑ ช้อนโต๊ะ

ใส่น้ำเปล่าประมาณ ๑ ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย ๑ ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วขาว ๒ ช้อนโต๊ะ [หรือซีอิ๊วเห็ดหอม ๒ ช้อนโต๊ะ]
พริกไทยป่นนิดหน่อย


พอส่วนผสมทั้งหมดละลาย ชิมรส ชอบหวาน-เค็มก็จัดไป หากไม่กลัวความเค็มก็จัดหนักซีอิ๊วทั้งสองชนิดลงไปได้อีก  ผัดด้วยไฟไม้ต้องแรง ถ้าไฟแรงมากกระทะจะไหม้ซ๊ะก่อน เพราะในส่วนผสมจะมีน้ำตาลอยู่จะทำให้กระทะไหม้นะคะ
6. นำเห็ดหอมทอดที่พักไว้ลงไปคลุกน้ำซีอิ๊ว คลุกแบบเร็ว ๆ คลุกจนกว่าน้ำซีอิ๊วจะแห้งและซึมเข้าไปในเนื้อเห็ดจนหมด คลุกจนน้ำซีอิ๊วซึมหายไปในเนื้อเห็ดแล้วดับไฟเตานะคะจัดเสริฟพร้อมข้าวสวยร้อน ๆ หรือรับประทานกับข้าวต้มก็แจ่ม