วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2559

สูตรอาหารและธรรมชาติบำบัด

สูตรอาหาร :
ล้างระบบดูดซึม
1. นมสด โยเกร์ต น้ำผึ้ง มะนาว : ใช้โยเกิร์ตชนิดจืดครึ่งถ้วย ผสมนมสดชนิดจืด 1 กล่อง เติมน้ำผึ้ง 2 ช้อนชา และ บีบมะนาว 2 ลูก   คนให้เข้ากัน ทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วค่อยดื่ม
คุณสมบัติ : ให้วิตามิน B บำรุงสมอง วิตามิน C เพิ่มภูมิต้านทาน, จุลินทรีย์ตัวดีช่วยย่อย,  นมสดให้แคลเซียม
2. บอระเพ็ดยาว 1 เกียก (กางนิ้วชี้ให้ห่างจากหัวแม่โป้งที่สุด แล้ววัดความยาวระหว่างปลายนิ้วชี้ กับ ปลายนิ้วโป้ง) ต้มน้ำ ดื่มแต่น้ำ บอระเพ็ดล้างไขมัน บำรุงถุงน้ำดี
3. ดีบัว ต้มน้ำ ดื่มแต่น้ำ
4. ชามะละกอ : มะละกอดิบ ที่ใช้ตำส้มตำ นำมาหั่นเป็นชิ้นเหมือนชิ้นฟัก  ประมาณ 6-8 ชิ้นต่อน้ำ 2 ลิตร จะขาดจะเกิน ไม่ผิด (ถ้าใส่มากเกินไปจะทำให้บูดง่าย มะละกอดิบที่เหลือ ใส่ตู้เย็นเก็บไว้ใช้ได้ในครั้งต่อไป)  และ ใบเตย หรือ เก๊กฮวย อย่างใดอย่างนึง กะเอง    ต้มในน้ำ จนเดือด  พอเดือดได้ประมาณ 1 นาที ปิดไฟทันที อย่าต้มต่อ  ให้เอามะละกอ กับ ใบเตยทิ้ง (อย่าปล่อยให้มะละกอเดือดจนเละ) แล้วใส่ใบชา ลงไปแช่ประมาณ 4 นาที ห้ามแช่นานกว่า 4 นาทีเพราะสารแทนนินจะออกมา ทำให้ท้องผูก  แล้วตักใบชาทิ้ง   จะได้น้ำชามะละกอ  ดื่มร้อน หรือ เย็นได้    น้ำชาที่เหลือให้แช่ตู้เย็น เก็บไว้ได้ประมาณ 2 วัน  เกินกว่านั้นจะบูด  (ยางมะละกอล้างไขมัน, ใบเตยให้ความสดชื่น, ชาดับกลิ่นมะละกอ) ชมวิดิโอสาธิตการต้มชามะละกอได้ ข้างล่าง หรือ กดที่นี่
5. ไวทาไลท์ สมุนไพรสกัดสูตรจีน : รากหญ้าคา เก๋ากี๊ (บำรุงตับ) เก๊กฮวย (บำรุงหัวใจ) ดอกคามิลเลีย 1 pack มี 10 ซอง 1 ซอง ชงกับน้ำ 1-2 ลิตร แล้วเก็บไว้ในตู้เย็น ใช้ดื่มวันละ 4-6 แก้ว
6. ข้าวต้มยางมะละกอ : มะละกอดิบ หั่นเป็นชิ้น ๆ ชิ้นละประมาณ 1 ข้อของนิ้วมือ ไม่ต้องปอกเปลือก ครึ่งลูกต่อน้ำประมาณ 2 ลิตร ต้มในหม้อ เมื่อเดือดแล้ว เคี่ยวต่อ จนมะละกอเละ เมื่อเละแล้ว ให้ช้อนมะละกอทิ้ง เหลือน้ำไว้   น้ำนั้นคือ น้ำยางมะละกอ นำน้ำยางมะละกอ มาหุงกับข้าวกล้อง ควรจะใส่ใบเตยหุงไปด้วย เพื่อความสดชื่น จะใช้น้ำเท่าไหร่ ให้กะเอากับจำนวนข้าวกล้อง กะให้หุงมาเป็นข้าวต้ม ไม่ใช่แห้งเป็นข้าวสวย น้ำยางมะละกอที่เหลือ แช่ตู้เย็นเก็บไว้ก่อน ห้ามใช้ข้าวขาว เพราะข้าวกล้อง จะมีสารไปลดพิษจากยางมะละกอ หุงกับข้าวกล้อง ให้กลายเป็นข้าวต้ม เมื่อได้ข้าวต้มยางมะละกอแล้ว ทานติดกัน 10-14 วัน ทุกมื้อ แทนข้าว  ทานกับกับข้าวปกติ ช่วยล้างระบบดูดซึม ล้างไขมัน และ น้ำตาลในเลือด ลดกรดยูริค
กำจัดไวรัส
1. เม็ดมะรุมตากแห้ง แกะเปลือกแล้วทานเม็ดข้างใน วันละ 5-30 เม็ด เป็นเวลา 7-40 วัน แล้วแต่คำแนะนำของนักประเมินสุขภาพ
2. ข้าวต้มแครอท ป้องกันไวรัส (ไม่ได้กำจัด) ทานช่วงฤดูหนาว นำแครอทหั่นเป็นชิ้นเล็ก ต้มกับข้าว ทานเป็นข้าวต้ม ป้องกันไวรัส
แก้คัดจมูก ภูมิแพ้
1. ใบยอเผา ปิ้ง ยำ หรือใส่ในห่อหมก แก้ไอ คัดจมูก
2. เนยใส (Ghee) ชุบสำลี แยงจมูกให้ลึกที่สุด แก้คัดจมูก และ ภูมิแพ้ ฆ่าเชื้อในโพรงจมูก
3. ชามะละกอ ล้างไขมันในลำไส้ แก้ภูมิแพ้
4.ไวทาไลท์ ดื่มวันละ 1 ซอง รักษาภูมิแพ้ เจ็บคอ ร้อนใน
ล้างเชื้อรา
1. กินผักเมือก ๆ เช่น ผักบุ้งแดง, กระเจี๊ยบเขียว, ผักปรัง, บวบ, น้ำเต้า, เม็ดแมงลัก, ใบมะรุม เป็นต้น เมือก(เพคติน)จะไปล้างเชื้อราในระบบดูดซึมออกมา
2. ใบย่าน่าง ปั่น หรือ คั้นน้ำ ทานแต่น้ำ
3. อัลฟ่า 20 ซี สมุนไพรสกัดแบบเม็ด สร้างเม็ดเลือดขาว ล้างเขื้อรา
*ผู้ที่มีเชื้อรา ต้องงด อาหารหวาน และ ผลไม้,โปรตีนจากเนื้อสัตว์, ถั่วแห้ง เช่น ถั่วลิสง, งา
ถ่ายพยาธ
1. เม็ดมะรุม วันละ 7 เม็ดขึ้นไป, น้ำมันมะรุม ทานไล่พยาธิ
2. กระเจียบเขียว 7 กำมือของผู้ป่วย ทานให้หมดภายใน 3 วัน ไล่พยาธิตัวจี๊ด และ อื่น ๆ
3. ยาถ่ายพยาธิทั่วไป ปรึกษาเภสัชกรประจำร้าน
4. เนื้อลูกยอ ช่วยขับพยาธิ
5. พยาธิผิวหนัง / ตัวจี๊ด ใช้ Sun Smile สมุนไพรสกัดจาก แป้งข้าวโพด น้ำมันมะพร้าว หยดในน้ำดื่ม
ชมคลิป สาธิตการแช่ผักใน Sunsmile เปรียบเทียบกับการแช่ในน้ำเปล่า… Sunsmile ให้ความสดกับผักได้มากกว่า
6. ใบข่า ซอย 2 ใบ ต่อ วัน 5-7 วัน
ึ7. พยาธิใบไม้ในตับ, พยาธิตัวแบน ทานเมล็ดฟักทอง วันละ 200-400 เมล็ด ติดกัน 30 วัน ทานเวลาท้องว่าง (แนะนำว่า นำเมล็ดฟักทองไปปั่นกับนม แล้วเติมน้ำผึ้ง เพื่อให้ทานง่ายขึ้น)
ล้างอุจจาระตกค้าง
1. เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา ผสมน้ำ 1 แก้ว ทิ้งไว้ 30 นาที ดื่มก่อนนอน เม็ดแมงลักจะลากอุจจาระตกค้างออกมา  ทานเป็นปกติได้ทุกวัน หรือ 3-4 วันต่อสัปดาห์ แล้วแต่สมควร
2. นมสด 2 กล่อง (รวมจะได้ประมาณ 500 มิลลิตร) และ กล้วยน้ำว้า 2 ลูก ทานก่อน 6 โมงเช้า
3. ทานผักบุ้งแดง 2 กำมือ ผัด หรือ ต้ม ทำอาหารตามใจชอบ ผักบุ้งจะลากอุจจาระตกค้างออกมา
4. กระเจี๊ยบเขียว ทานวิธีใดก็ได้ 4-7 ฝักต่อวัน
5. โซดา 1 ขวด ผสมนมข้มหวาน 6 ช้อนโต๊ะ
รักษานิ่วในไต
1. เหล้าขาว หรือ Vodka 1 ก๊ง (2 ช้อนโต๊ะ) ผมมน้ำมะนาว 1 ลูก ทานก่อนนอนทุกวัน เป็นเวลา 10 วัน
2. แกนสับปะรด 3 ลูก กินเฉพาะแกน หรือ เอาแกนไปต้มน้ำพอประมาณ ทานเป็นเวลา 5-10วัน
3. น้ำมะพร้าวอ่อน แกว่งด้วยสารส้ม ดื่มวันละ 1 ครั้ง จนกว่านิ่วจะหลุด
บำรุงไต1. ของสีดำตามธรรมชาติ ทุกชนิด เช่น ถั่วดำ, ข้าวเหนียวดำ, เห็นหูหนูดำ, เฉาก๊วย, งาดำ เป็นต้น
2. หน่อไม้ดอง
3. เม็ดบัว
4. ไขเยี่ยวม้า
5. น้ำฟักทอง
6. เห็ดหูหนูดำ ต้มกับหญ้าหวาน ใส่น้ำตาลกรวด ช่วยบำรุงกำลัง บำรุงสมอง ดีต่อปอด ไต ม้าม
แต่อย่ากินตอนเย็น เพราะจะเย็นเกินไป บำรุงปอด
1. พืช ผัก ธัญพืช ที่มีสีขาวโดยธรรมชาติ บำรุงปอด เช่น ถั่วขาว, เห็ดหูหนูขาว เป็นต้น
2. น้ำสำรอง ทานก่อนตีห้า บำรุงปอด
3. หัวต้นหอมดีกับปอด หางกินแล้วเย็น
4. ข้าวเหนียว 2 ส่วน ต้มกับลำไยแห้ง 1 ส่วน ใส่น้ำมากๆ กินบำรุง ปอด หัวใจ ตับ
บำรุงตับ
1. ขมิ้นชัน ทานก่อนนอน
2. ถั่วเขียว บำรุงตับ
3. ชาแคลลี่ ดื่มก่อนนอน ช่วยตับขับสารพิษ
4. ลูกเดือยต้มกับถั่วขาว ถั่วขาว 1 ส่วน ลูกเดือย 2 ส่วน ต้มน้ำ 20 เท่า กินแต่น้ำ บำรุงตับ
บำรุงกล้ามเนื้อหัวใจ
1. ผักสด ผลไม้สด ทุกชนิด (กล้วย ส้ม ขนุน มีโปตัสเซียมมาก) และเนื้อหมู
2. งด ถั่ว ข้าวเหนียว ของดอง เต้าหู้ เพราะมีโซเดียมเยอะจะไปทำร้ายกล้ามเนื้อหัวใจ
3. ใบเตย ต้มน้ำ ทานแต่น้ำ
4. ถั่วแดง บำรุงหัวใจ
บำรุงเยื่อหุ้มหัวใจ
1. ถั่ว ข้าวเหนียว ของดอง เต้าหู้ ไข่เยี่ยวม้า มีโซเดียมสูง บำรุงเยื้อหุ้มหัวใจ
2. งด ผลไม้สด และ ผักสด เนื้อหมู ซึ่งมีโปตัสเซียมสูง จะไปทำร้ายเยื่อหุ้มหัวใจ
ละลายลิ่มเลือด แก้ช้ำใน
1. เหล้าขาว หรือ Vodka 2 ช้อนโต๊ะ ผสม น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ วันละครั้ง ดื่ม 3-7 วัน แล้วแต่อาการ
2. นมสด 1 แก้ว  ชมิ้นชัน 1 ช้อนโต๊ะ เนยใส 1 ช้อนโต๊ะ (หรือ น้ำมันมะรุม1 ช้อนโต๊ะ แทนเนยใส หรือ น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ หรือ น้ำมันขิง 1 ช้อนโต๊ะ แทนเนยใส )คนให้เข้ากัน ทานติดกัน 5-10 วัน แล้วแต่อาการ
3.โยเกิร์ตรสจืด 1 ถ้วย ผสมน้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ ทาน 5-7 วัน
4. สมุนไพรสกัด แดนดิไลน์ ควบคู่กับ แอลสตรีม
ล้างสารพิษ
1. ระดับต่ำ เห็ดสามอย่าง ต้มน้ำ ดื่มน้ำที่ต้มได้ หรือ นำเห็ดสามอย่างไปทำอาหาร
2. ระดับกลาง ข้าวต้มถั่วเขียว  (ข้าวสาร ๑ ส่วน ถั่วเขียว ๑ ส่วน ต้มกับน้ำจนกลายเป็นข้าวต้ม ที่สำคัญสูตรนี้ต้องต้มในหม้อดินหรือหม้อกระเบื้องเคลือบเท่านั้น เพราะถ้าใช้หม้อโลหะ มันก็จะไปดึงสารพิษจากโลหะกลับเข้ามาอีก)
3. ระดับสูง ต้นจางจืด (คนละชนิดกับรางจืด อาจจะหายากสักหน่อย แต่พอมีขายตามร้านขายยาไทย เช่น เจ้ากรมเป๋อ) ลักษณะเป็นไม้แห้ง หั่นเป็นแว่นๆ ใช้สัก ๓-๔ แว่นต้มกับน้ำ ๑ ลิตร (ต้มในหม้อดิน) ดื่มน้ำล้างพิษ ๗-๑๐ วัน
หรือจะใช้ ต้นเหงือกปลาหมอ (งงหนักขึ้นไปอีก) อันนี้ต้องเฉพาะพื้นที่ (ตามป่าชายเลนจะพอมี) ถ้าใช้สดมาสับๆ ให้ละเอียด ๑ ขีด (ถ้าแบบแห้งก็แค่ ๑/๒ ขีด) ต้มกับน้ำ ๑ ลิตร (ต้มในหม้อดิน) ดื่มน้ำล้างพิษ ๑๐ วัน
ง่ายกว่านั้นแต่ต้องใช้ตังค์เยอะหน่อย คือ ใช้ ชาแคลรี่ (CALLI) ของซันไรเดอร์  ชงดื่มวันละ ๑-๒ ซอง ล้างพิษระดับนี้ได้ชะงัดนัก
4. ผักบุ้งแดง ๑ กำมือ ต้มกับน้ำ ๑ ลิตร เติมน้ำตาลทรายแดง ๕ ช้อนโต๊ะ (ต้มในหม้อดิน) กินน้ำล้างพิษ สัก ๑๐-๓๐วัน
ลดความอ้วนจากการบวมน้ำ
ฟักเขียว ต้มกับ ข้าวสาร อย่างละเท่ากัน
ลดความอ้วน (ควรใช้ 2 สูตรนี้ ควบคู่กันไป)
พุทราจีน 7 ลูก ต้มกับขิง 1 หัวแม่มือ ดื่มแล้ว ต้องออกกำลังกาย เช่น เดิน, แกว่งแขน สูตรนี้จะขับเหงื่อ เผาผลาญไขมัน ลดความอ้วน เผาผลาญของเก่า
ข้าวต้มลูกเดือย ป้องกันไขมันใหม่
สะเก็ดเลือด
1. นม 1 กล่อง + ขมิ้นชัน 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน ดื่มจนกว่าอาการจะหาย
2. โยเกิร์ต + น้ำมัน 1 ช้อนโต๊ะ (ขิง ข่า งา มะพร้าว) คนให้เข้ากัน ดื่มจนกว่าอาการจะหาย
3.อ้อยดำ อ้อยแดง สับ ๆ 7 ปล้อง ต้มน้ำดื่ม ดื่มจนกว่าอาการจะหาย
4.มะขามคลุกข่า ใส่เกลือสมัยใหม่+ผงชะเอมหรือผงบ๊วย ทานจนกว่าอาการจะหาย
5. สมุนไพรสกัด แดนดิไลน์ ควบคู่กับ แอลสตรีม
ล้างสารพิษตกค้าง, ไทรอยด์เป็นพิษ, เนื้องอก
1. เห็ด 3 อย่าง ใช้เห็ดที่ทานได้ (ไม่มีพิษ) ชนิดใดก็ได้ ต้มรวมกันไม่น้อยกว่า 3 ชนิด แล้วทานน้ำ จะช่วย บำรังตับ และ ขจัดสารพิษ สลายพังผืดในมดลูก ลดอนุมูลอิสระ ลด cell มะเร็ง  เพิ่มโลหิตขาว ลดไขมันในเลือด แก้ภูมิแพ้
2. ชาแคลลี่ สมุนไพรสกัด ล้างสารพิษตกค้าง
3. เนื้อลูกยอ ทานในฤดูหนาว ล้างพิษ
4. น้ำต้ม ใบรางจืด กับ ใบเตย กะสัดส่วนเอง ทานล้างสารเคมีตกค้างจากยาฝรั่ง  ล้างกรดยูริก
ริดสีดวงทวาร
สูตรแผนจีน กล้วยหอมทั้งเปลือก ฝานลงต้มกับน้ำตาลทรายแดง ทานทั้งน้ำทั้งเนื้อ
ลดไขมันในเลือด
1. กระเจี๊ยบแดง+พุทราจีน อย่างละเท่ากัน  ต้ม   ใส่น้ำเท่าไหร่ ให้กะเอง    ใส่น้ำตาลทรายแดงนิดหน่อย  ต้มแล้วเก็บไว้ในตู้เย็น ดื่มทุกวัน ดื่มมากน้อยเท่าไหร่ แล้วแต่พอใจ  ไม่มีอันตราย   สูตรนี้ยังช่วยลดหินปูนในเลือด ลดหินปูนในสมอง  บำรุงเยื่อหุ้มหัวใจ แต่ไม่เหมาะกับคนที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจ
* น้ำกระเจี๊ยบแดงอย่างเดียว ที่ไม่ใส่พุทราจีน ทานมากจะมีผลต่อไต ไตจะเสื่อม  ต้องใส่พุทราจีนด้วยจึงครบสูตร ทานได้ทุกวัน
2. มะละกอปลอกเปลือก ต้มในน้ำแกง หรือแกงส้ม ทานได้ทั้งน้ำและเนื้อ ลดไขมันในเลือด
3. มะเขือทุกชนิด มะเขือเทศ มะเขือเปราะ มะเขือพวง มะเขือยาว เป็นต้น
4. กะทิ และ ไข่แดง มี HDL Cholesterol ซึ่งเป็นไขมันตัวดี มีประโยชน์ ช่วบลด LDL Cholesterol (ไขมันตัวร้าย) ฉะนั้น ควรทาน กะทิ และ ไข่แดงเป็นประจำ
5. สะเดา ลวกสุก ทานล้างไขมัน ไม่ควรทานทุกวัน เพราะจะทำให้ปวดเมื่อยเนื้อตัว
ลดความอ้วน ลดไขมันสะสม
1. ทานมันเทศสีเหลือง หรือ บุก หรือ ฮ่วยซัว ระหว่าง 0900-1100 น. ช่วยอุ้มไขมันไปทิ้ง
2. เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา ผสมน้ำ 1 แก้ว ทานก่อนนอน หรือ ทานน้ำสำรองเป็นประจำ
3. ไวทาไลท์ 1 ซอง ผสมน้ำ 1 ลิตร ดื่มให้หมดภายใน 1 วัน ดื่มติดกันจนกว่าจะได้น้ำหนักที่พอใจ
4. แกงบอน ช่วยลดความชื้นในร่างกาย ปอดชื้น ไตชื้น ม้ามชื้น ลดความอ้วน

ขยายหลอดเลือด

1. หน่อไม้ ต้มกับใบย่านาง (หรือซุปหน่อไม้) ใบย่านางจะล้างพิษของหน่อไม้ สูตรนี้ช่วยขยายหลอดเลือด
2. กุ๊ยช่าย ลดความดัน ฟอกเลือด

ลดน้ำตาลในเลือด รักษาเบาหวาน

1. น้ำต้มใบมะยม หรือ หญ้าหวาน หรือ อบเชย หรือ รากเตย
2. ซันนี่ดิว สมุนไพรสกัดจากหญ้าหวาน
3. สูตร อ.จัสติน รากเตยหอม ผสม กับ อบเชย ต้มน้ำดื่ม ดื่ม ตอน 9 นาฬิกา วันละ 1 แก้ว
4. ว่านรางจืด ช่วยล้างพิษจากน้ำตาลในเลือด
5. ใบมะรุม
โรคปอดหรือหอบหืด
ขิงเท่าหัวแม่มือของผู้ป่วย หอมแดงเท่าขิง กระเทียมเท่าขิง ปั่นหรือตำเติมน้ำ 1 แก้ว กรองเอาแต่น้ำ ใส่น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ บีบมะนาว 3-4 ลูก ไม่เกิน 1 เดือน
กระเพาะอาหาร, กรดในกระเพาะ
1. ขมิ้นชัน 5-7 เม็ด ทานระหว่าง 0700-0900 เช้า บำรุงกระเพาะอาหาร
2. Assimilaid สมุนไพรสกัด บำรุงกระเพาะ
3. กระเจี๊ยบเขียว 3-5 ฝัก เมือกเพคติน สมานแผลในกระเพาะ
บำรุงม้าม
1. ถั่วเหลือง หรือ มันเทศสีเหลือง หรือ ขมิ้นชันทานเวลา 0900-1100 น.บำรุงม้าม
2. อัลฟ่า 20 ซี สมุนไพรสกัด ทานเวลา 0900-1100 น. บำรุงม้ามให้ผลิตเม็ดเลือดขาว สร้างภูมิคุ้มกัน แก้น้ำเหลืองเสีย ป้องกันงูสวัด
3. ดอกอัญชัญต้มน้ำ ทานน้ำ บำรุงม้าม ช่วยให้น้ำเหลืองดี
แก้ปวดข้อ
1. ลูกเดือยต้ม ทานเนิ้อแทนข้าว 7 วัน รวม 21 มื้อ แต่ละมื้อ ต้องมีลูกเดือยในสัดส่วนมากกว่า 70% ของมื้อนั้น
2. ใบยอ นึ่ง คั้นน้ำ หรือปั่น กินแก้ปวดข้อ ไม่ควรกินสดเพราะมีสารพิษ
3. กากกระชายที่ได้จากการปั่น ใช้ผสมเหล้ากับน้ำตาลทราย พอกเข่าแก้ปวดได้
4. น้ำต้ม ใบรางจืด กับ ใบเตย กะสัดส่วนเอง ทานล้างสารเคมีตกค้างจากยาฝรั่ง  ล้างกรดยูริก
ปรับความดันให้สมดุลย์
1. น้ำกระชายปั่น : กระชายล้าง ไม่ต้องปอกเปลือก 1 ขีด น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ มะนาว 2 ลูก
ล้างกระชายให้สะอาด ปั่นให้ละเอียด เติมน้ำสะอาดลงไป 2 แก้ว กรองเอาแต่น้ำ ใส่น้ำผึ้งและน้ำมะนาวลงไป ผสมปรุงรสตามใจชอบได้
– บำรุงกระดูก (เพราะมี แคลเซียม สูง)
– บำรุงสมอง เพราะทำให้เลือดเลี้ยง สมองส่วนกลาง ดีขึ้น
– ปรับสมดุลของ ฮอร์โมน
– ปรับสมดุลของ ความดันโลหิต ( ความดันโลหิตสูงจะลดลง ความดันโลหิตต่ำ จะสูงขึ้น
– แก้ โรคไต ทำให้ ไต ทำงานดีขึ้น
– ป้องกัน ไทรอยด์ เป็นพิษ
– บำรุง มดลูก
– แก้ปัญหา ผมหงอก ผมร่วง
– อาการ กระเพาะปัสสาวะ เกร็ง (กรณีนี้อาจใช้ เม็ดบัว ต้มกิน)
– ควบคุมไม่ให้ ต่อมลูกหมาก โต
– แก้ปัญหา ไส้เลื่อน
*กระชายมีฤทธิ์ร้อน หากรู้สึกร้อนใน ให้ลดจำนวนลง
เพิ่มเม็ดเลือด
1. สัปปะรดกับใบโหระพา-ปั่นสด กรอง ทานแต่น้ำ, ผักชีปั่นกับสับปะรด ทานน้ำ, ใบยอ ปั่นกับสับปะรด เพิ่มเม็ด
2. ใบเตย ต้มกับใบมะนาว, ใบเตยต้มกับแก่นขนุน
3. ใบขี้เหล็ก กินสุก เช่น แกงขี้เหล็ก ห้ามกินดิบ เพราะมีสารพิษ
4. สมาธิบำบัด โดย กสิณสีแดง
เพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen)
1.น้ำมะม่วงสุก / มะม่วงกวนต้มกับน้ำมะขาม / น้ำมะพร้าวอ่อน (ห้ามทานเนื้อ) /น้ำมะเฟือง / ผักกุ๊ยช่าย/ หอยแมงภู่แห้ง / ปลิงทะเล/ ว่านชักมดลูก(ชายสูงอายุต้องกิน จะช่วยให้ไม่เป็นไส้เลื่อน และไม่เป็นต่อมลูกหมากโต) ,
2. มุกสกัด
3. ลูกยอสุก เอาเม็ดออก ผสมยาสระผมสมุนไพร แก้เหา แก้คันจากไรฝุ่น ใช้ขับประจำเดือนอย่างแรง (ระวังอาจแท้งได้) ลูกยอมีฮอร์โมนเอสโตรเจน และตัวเบื่อเมา ใช้สับปะรดใส่ช่วยดับกลิ่นลูกยอได้
4. แครอทปั่นกับแอปเปิ้ลเขียวหรือฝรั่งหรือตะลิงปริง ,
บำรุงระบบเพศ
1. เนื้อลูกบัวต้ม
2.น้ำกระชายปั่น
สูตรอาหารอื่น ๆ
ใบกระเพราตากแห้ง – ใช้ต้มดื่มน้ำ ช่วยขับปัสสาวะ ขับลม
ใบมะยม,รากเตย, ใบหญ้าหวาน – ใช้ต้มดื่มน้ำ ช่วยบำรุงหัวใจ ด้านเบาหวาน ฟื้นฟูตับอ่อนให้แข็งแรง
ใบโหระพา – กินวันละ 7 ยอด เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยดูแล ปอด, ตับ, ม้าม, ไต, หัวใจ ให้แข็งแรง
ใบโหระพาปั่นกับสับประรด – ช่วยสร้างเม็ดเลือด
ใบเตย+ใบมะนาว/ ใบเตย+แก่นขนุน / ใบเตย+แก่นฝาง – ต้มรวมกันดื่มน้ำ ช่วยสร้างเม็ดเลือด
ใบเตย+แฮ่ม – ลดน้ำตาลในเลือด แก้ไมเกรน
ใบยอ – นำเอาใบมาย่างไฟ แล้วยำกินช่วยบำรุงเลือดได้ดี
ใบหูเสือ – กินช่วยขับพยาธิได้
ใบขี้เหล็ก -ช่วยขับถ่าย และช่วยให้นอนหลับดีขึ้น
มันเทศ – ลดความอ้วน อุ้มไขมันไปทิ้ง ลดความชื้นของม้าม ซุปมันเทศลดอาการตัวบวม
แกงบอน, ขมิ้นชัน, มันเทศ – เป็นอาหารลดความชื้นของม้าม และปอ
แกงสับปะรดใส่หอยแมงภู่แห้ง – แก้ปัสสาวะขัด ต่อมลูกหมากโต
เนื้อสับปะรด – ต้านการอักเสบ
ตาแย่ ตาป่วย ตาเจ็บ ตาแสบ – ต้องล้างระบบดูดซึมและดื่มน้ำกระชายและส่งอาหารที่มีวิตามินA และวิตามินEเข้าไปมากๆ คือ ขมิ้น , แกงผักบุ้งเทโพ , ผักบุ้งไฟแดง , ผลไม้ตากแห้ง เช่นกล้วยตาก ลูกเกด
ลูกเกด :- แก้ตาแพ้แสง , บำรุงผิวพรรณ , รักษาไมเกรน ช่วยให้เลือดเลี้ยงสมองส่วนหน้าได้ดี , แก้ถุงน้ำดีข้น , ลดความบ้า โรคจิตขี้กลัว ลดเครียด , ลดคลอเรสเตอรอล สรรพคุณคล้ายกระเจี๊ยบพุทราแห้ง
พริกหวานสีแดง ป้องกันโรคปวดตามข้อได้ ทำให้กระชุ่มกระชวย มีชีวิตชีวา สนุกสนาน
พริกหวานสีเหลือง กระตุ้นความอยากอาหาร ช่วยย่อย
พริกหวานสีเขียว คลอโรฟิลจะไปสร้างเม็ดเลือด
ที่มา/ https://thanakamon14.wordpress.com/category/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1/

นาฬิกาชีวิต

ช่วงเวลา ระบบที่เกี่ยวข้อง
01.00-03.00 น. ตับ นอนหลับพักผ่อนให้หลับสนิท
03.00-05.00 น. ปอด ตื่นนอน สูดอากาศบริสุทธ์
05.00-07.00 น. ลำไส้ใหญ่ ขับถ่ายอุจจาระ
07.00-09.00 น กระเพราะอาหาร กินอาหารเช้า
09.00-11.00 น. ม้าม พูดน้อย กินน้อย ไม่นอนหลับ
11.00-13.00 น. หัวใจ หลีกเลี่ยงความเครียดทั้งปวง
13.00-15.00 น. ลำไส้เล็ก งดกินอาหารทุกปะเภท
15.00-17.00 น. กระเพาะปัสสาวะ ทำให้เหงื่อออก ( ออกกำลังกายหรืออบตัว )
17.00-19.00 น. ไต ทำให้สดชื่น ไม่ง่วงเหงาหาวนอน
19.00-21.00 น. เยื่อหุ้มหัวใจ ทำสมาธิหรือสวดมนต์
21.00-23.00 น. ระบบความร้อนของร่างกาย ห้ามอาบน้ำเย็น ห้ามตากลม ทำให้ร่างกายอบอุ่น
23.00-01.00 น. ถุงน้ำดี ดื่มน้ำก่อนเข้านอน
การแพทย์ตะวันออกถือว่า กลางวันและกลางคืนมีความสัมพันธ์กับสุขภาพของมนุษย์ อย่างแยกไม่ออก โดยมองลึกลงไปอีกว่า ช่วงเวลา 24 ชั่วโมงในหนึ่งวันนั้น ภายในร่างกายของมนุษย์ยังมีการไหลเวียนของพลังชีวิตที่ผ่านอวัยวะภายในร่าง กายซึ่งประกอบด้วย อวัยวะตันและอวัยวะกลวง
อวัยวะตัน หมายถึง หัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ ปอด ม้าม ตับ ไต
อวัยวะกลวง หมายถึง กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ ระบบความร้อนของร่างกาย ( ชานเจียว )
การไหลเวียนของพลังชีวิต ( ลมปราณ ) ที่ผ่านแต่ละอวัยวะนั้นจะใช้เวลา 2 ชั่วโมง ทั้งหมดมี 12 อวัยวะ รวม 24 ชั่วโมง คือ หนึ่งวัน เรียกว่า “ นาฬิกาชีวิต “
ตัวอย่าง เช่นการไหลเวียนของเส้นลมปราณปอด จะมีพลังไหลเวียนเริ่มต้นที่เวลา 03.00 น. และสูงสุดในช่วงประมาณ 04.00 น. จากนั้นจะค่อย ๆ ลดลง และออกจากเส้นลมปราณปอดไปยังเส้นลมปราณลำไส้ใหญ่ เวลา 05.00 น. การรักษาโรคของเส้นลมปราณปอดที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดจึงควรอยู่ระหว่างเวลา 05.00 น.
ได้มีการศึกษาวิจัยพบว่า ผลของการใช้ยาตะวันตก คือ ยาดิติตาลิส ในการรักษาโรคหัวใจล้มเหลว ( มีการคั่งของน้ำในปอด ) การให้ยาในช่วงเวลา 04.00 น. จะให้ผลออกฤทธิ์ประมาณสี่สิบเท่าของการให้เวลาอื่นเป็นต้น
การเคลื่อนไหวของพลังชีวิตของอวัยวะภายในมีกฎเกณฑ์แน่นอนและสัมพันธ์ เกี่ยว ข้องกับเวลา ( นาฬิกาชีวิต ) ร่างกายเราจึงมีกลไกการปรับตัวมีการสร้างสารคัดหลั่งฮอร์โมน การทำงานของระบบต่าง ๆ ฯลฯ เป็นไปตามสภาพธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไป
การดำเนินชีวิตและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันให้สอดคล้องกับการ เปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ จึงเป็นหลักฐานของการมีสุขาพที่ดีและมีอายุยืน ปราศจากโรค โดยแบ่งเป็นช่วงเวลาดังนี้
01.00 – 03.00 น. เป็นช่วงเวลาของตับ ควรนอนหลับพักผ่อนกลางคืนถ้าใครนอนหลับได้ดีเป็นประจำในช่วงเวลานี้ ตับจะหลั่งสารมีราโทนิน
( melatonin ) เพื่อฆ่าเชื้อโรคทำให้หน้าอ่อนกว่าวัย นอกจากร่างกายจะหลั่งมีราโทนินประจำแล้ว ยังหลั่งสารเอนโดฟิน ( endorphin ) ออกมาด้วยจึงไม่ควรกินอาหารเพราะจำทำให้ตับทำงานหนักและเสื่อมเร็ว หน้าที่หลักของตับคือ ขจัดสารพิษในร่างกาย ส่วนหน้าที่รองคือ
1. ช่วยไตในการดูแลผม ขน เล็บ ถ้าตับมีปัญหา ผม ขน เล็บ จะไม่สวย
2. ช่วยกระเพาะย่อยอาหาร ถ้ากินบ่อย ๆ จะทำให้ตับทำงานหนัก ตับจะหลั่งน้ำย่อยออกมามาก จึงไม่ได้ทำหน้าที่หลัก เป็นเหตุให้สารพิษตกค้างในตับ
03.00 – 05.00 น. เป็นช่วงเวลาของปอด จึงควรตื่นนอนลุกขึ้นเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์และรับแสงแดดในยามเช้าผู้ที่ ตื่นนอนในช่วงนี้เป็นประจำปอดจะดี ผิวดีขึ้น และจะเป็นคนที่มีอำนาจในตัว
05.00 – 07.00 น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้ใหญ่ ควรขับถ่ายอุจจาระทำให้เป็นนิสัยทุกเช้า ถ้าไม่ถ่ายให้ใช้วิธีกดจุดที่ตำแหน่งสองข้างของจมูกถ้ายังไม่ถ่ายให้ดื่มน้ำ อุ่น 2 แก้ว ถ้ายังไม่ถ่ายอีกให้ดื่ม น้ำผึ้งผสมมะนาว โดยใช้น้ำ 1 แก้ว + น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ + มะนาว 4-5 ลูก ทำดื่มจนกว่าจะถ่ายหรือบริหารโดยยืนตรง หายใจเข้าแล้วก้มลงพร้อมทั้งหายในออก เอามือท้าวเข่าแขม่วท้องจนเหมือนว่าหน้าท้องไปติดสันหลัง
07.00 – 09.00 น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารจะทำงาน ถ้ากินอาหารเช้าในช่วงนี้ทุกวัน กระเพาะอาหารจะแข็งแรง ถ้าปล่อยให้กระเพาะอาหารอ่อนแอ จะส่งผลให้เป็นคนตัดสินใจช้า ขี้กังวล ขาไม่ค่อยมีแรง ปวดเข่า หน้าแก่เร็วกว่าวัย
09.00 – 11.00 น. เป็นช่วงเวลาของม้าม ม้ามจะอยู่ชายโครงด้านซ้ายและมีหน้าที่ควบคุมเม็ดเลือด สร้างน้ำเหลือง ควบคุมไขมัน คนที่ปวดศีรษะบ่อยมักมาจากความผิดปกติของม้าม อาการเจ็บชายโครงสาเหตุมาจากม้ามกับตับ
– ม้ามโต ม้ามจะไปเบียดปอด ทำให้เหนื่อยง่าย ผอมเหลือง ตาเหลือง สร้างเม็ดเลือดขาวได้น้อย
– ม้ามชื้น อาหารและน้ำที่กินเข้าไปจะแปรสภาพเป็นไขมันจึงทำให้อ้วนง่าย
ผู้ที่มักนอนหลับในช่วงเวลา 09.00 – 11.00 น. ม้ามจะอ่อนแอ นอกจากนี้ม้ามยังโยงถึงริมฝีปาก ผู้ที่พูดบ่อย ๆ หรือพูดเก่ง ๆ ม้ามจะชื้น จึงควรพูดน้อย กินน้อย ม้ามจึงจะแข็งแรง
11.00 – 13.00 น. เป็นช่วงเวลาของหัวใจ หัวใจทำงานหนักในช่วงเวลานี้จึงควรหลีกเลี่ยงความเครียด เหตุที่ทำให้ต้องใช้ความคิดหนัก และหาทางระงับอารมณ์ตื่นเต้นหรืออาการตกใจให้ได้
13.00 – 15.00 น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้เล็ก จึงควรงดกินอาหารทุกประเภท เพื่อเปิดโอกาสให้ลำไส้ทำงาน ลำไส้เล็กมีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารที่เป็นน้ำทุกชนิด เช่น วิตามิน ซี บี โปรตีนเพื่อสร้างกรดอะมิโน สร้างเซลล์สมองซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างไข่สำหรับผู้หญิง ถ้ากรดอะมิโน น้อยไข่จะมาไม่ครบทุกเดือน ผู้หญิงมีลำไส้ยาวกว่าผู้ชาย 11 ฟุต เพื่อให้การดูดซึมได้นานกว่าเนื่องจากต้องใช้กรดอะมิโนมากกว่าผู้ชาย เมื่อมีลำไส้ยาวกว่าจึงมีกระดูกซี่โครงมากกว่าผู้ชายข้างละ 1 ซี่
15.00 – 17.00 น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะปัสสาวะ แนวพลังของกระเพาะปัสสาวะเริ่มจากหัวตา ผ่านหน้าผาก ศีรษะ ท้ายทอย แผ่นหลังทั้งแผ่น สะโพก ด้านหลังขา หัวเข่า น่อง ส้นเท้า
นิ้วก้อย กระเพาะปัสสาวะจะเกี่ยวข้องกับระบบความจำ ไทรอยด์และระบบเพศทั้งหมด
ช่วงเวลานี้จึงควรทำให้เหงื่อออก อาจจะออกกำลังกายหรืออบตัว กระเพาะปัสสาวะจะได้แข็งแรง ข้อควรระวัง ถ้าเหงื่อมีโซเดียมปนออกมามากไตจะวายแต่ถ้ามีโปรตัสเซี่ยมปนออกมามาก หัวใจจะวาย แก้ไขเรื่องหัวใจวายด้วยการดื่มน้ำส้มหรือน้ำมะนาวเพื่อเติมโปรตัสเซี่ยม ผู้ที่มีโปรตัสเซี่ยมน้อยต้องระวังเรื่องการฉีดยาชา เพราะยาชา จะทำให้โปรตัสเซียมลดลงอย่างรวดเร็ว หัวใจอาจวายเองได้ง่าย การอั้นปัสสาวะบ่อย ๆ ปัสสาวะจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เหงื่อออกมามีกลิ่นเหม็นเหมือนปัสสาวะ
17.00 – 19.00 น. เป็นช่วงเวลาของไต จึงควรทำใจให้สดชื่น ไม่ง่วงเหงาหาวนอนในช่วงเวลานี้ ผู้ใดมีอาการง่วงนอนช่วงเวลานี้ แสดงว่ามีปัญหาเรื่องไตเสื่อม ถ้านอนหลับแล้วเพ้อ แสดงว่าอาการหนักมาก
– ไตซ้าย จะคุมสมองด้านขวา ซึ่งควบคุมด้านความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์สุนทรีย์ รักสวยรักงาม ชอบแต่งตัว ถ้าไตซ้ายมีปัญหา อารมณ์รักสวยรักงามจะหมดไป กลายเป็นคนปล่อยเนื้อปล่อยตัว และเป็นคนขี้ร้อน
– ไตขวา จะคุมสมองด้านซ้าย ซึ่งควบคุมด้านความจำ ถ้าไตขวามีปัญหาความจำจะเสื่อม และเป็นคนขี้หนาว ( ผู้ที่ไตแข็งแรงจะเป็นคนที่มีอายุยืน เป็นคนกล้า )
ถ้าลำไส้เล็กมีไขมันเกาะมาก อาหารที่อยู่ในรูปสารละลายจะผ่านลำไส้เล็กไม่ได้ จึงตกเป็นภาระของไต เป็นผลให้ไตทำงานหนัก จึงกลายเป็นโรคไต ผู้ที่เป็นโรคไต สมองจะเสื่อม ปวดหลัง เป็นหวัดง่าย มีเสลดในคอ
การดูแล คือ ตอนเช้าอาบน้ำเย็น ตอนเย็นอาบน้ำอุ่น กรณีที่อาบน้ำไม่ได้ให้ใช้วิธีแช่เท้า แต่น้ำควรใส่สมุนไพรที่ถูกกับโลกของผู้ป่วย เช่น ขิง ข่า กระชาย อย่างใดอย่างหนึ่ง
19.00 – 21.00 น. เป็นช่วงเวลาของเยื่อหุ้มหัวใจ ช่วงเวลานี้ควรจะสวดมนต์ทำสมาธิ ปัญหาเกี่ยวกับเยื่อหุ้มหัวใจ คือหัวใจโต หัวใจรั่ว เส้นโลหิตหัวใจตีบ ดังนั้นผู้ป่วยต้องระวังเรื่องตื่นเต้น ดีใจ การหัวเราะ กรณีเส้นเลือดขอด ต้องดูแลเยื่อหุ้มหัวใจให้แข็งแรง ควรใส่เสื้อผ้าชุดสีดำ เทา เอาเท้าไปแช่ในน้ำอุ่น
21.00 – 23.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ต้องทำให้ร่างกายอบอุ่น จึงห้ามอาบน้ำในช่วงเวลานี้ เพราะจะทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย อย่าไปตากลม เพราะเป็นช่วงที่ลมเป็นพิษ
23.00 – 01.00 น. เป็นช่วงเวลาของถุงน้ำดี ( ถุงน้ำดีเป็นถุงสำรองเก็บน้ำย่อยที่ออกมาจากตับ ) อวัยวะใดในร่างกายเมื่อขาดน้ำ จะมาดึงน้ำจากถุงน้ำดี ทำให้ถุงน้ำดีข้น เป็นผลให้อารมณ์ฉุนเฉียว สายตาเสื่อม เหงือกจะบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับ ตื่นกลางดึก หรือตอนเช้าจะจาม ( ถุงน้ำดีจึงโยงไปถึงปอด ) จะปวดศีรษะข้างเดียวหรือสองข้างโดยไม่ทราบสาเหตุ ( ผู้ที่ตัดถุงน้ำดีออก เมื่อตรวจด้วยลูกดิ่งจะพบว่า ถุงน้ำดีข้น มักมีอาการปวดขา ปวดสะโพก )
ทางแก้ คือ อย่าใส่ชุดนอนที่เป็นผ้าใยสังเคราะห์ ไนล่อน ชุดนอนทำจากใยสังเคราะห์จะไปดูดน้ำในร่างกาย ควรสวมชุดผ้าฝ้ายดีที่สุด ไม่ควรนอนบนที่นอนสูง ๆ เพราะจะทำให้เสียน้ำในร่างกาย ดังนั้นควรดื่มน้ำก่อนเข้านอน หรือก่อนเวลา 23.00 น.
อวัยวะภายในร่างกายมี 12 ระบบ แต่ละระบบจะทำงานหนักเป็นเวลา ชั่วโมง ในแต่ละวัน
ช่วงตีสามถึงตีห้า ปอดจะทำงานหนัก คนที่มีปัญหาเรื่องปอดจะไม่ค่อยตื่นเวลานี้ คนตื่นได้ตีสาม ตีห้า แปลว่าปอดแข็งแรง มีโอกาสเป็นผู้นำคน เพราะลมมาจากปอด พูดมีพลังอำนาจ คนตื่นสาย ปอดจะไม่แข็งแรง
การรักษาโรคปอดหรือหอบหืด
ใช้ขิงเท่าหัวแม่มือของผู้ป่วย หอมแดงเท่าขิง กระเทียมเท่าขิง ปั่นหรือตำเติมน้ำ 1 แก้ว กรองเอาแต่น้ำ ใส่น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ บีบมะนาว 3-4 ลูก ไม่เกิน 1 เดือน หอบหืดจะหาย เว้นเสียแต่จะเป็นมานานหลายสิบปีอย่างนี้ต้องใช้เวลา 60 วัน
ช่วงตีห้าถึงเจ็ดโมงเช้า เป็นช่วงเวลาของลำไส้ใหญ่ ซึ่งมีหน้าที่ขับถ่ายอุจจาระออกไป แต่คนเรามักจะไม่ตื่นในช่วงนี้ ซึ่งเป็นเวลาที่ลำไส้ต้องบีบอุจจาระลง เมื่อไม่ตื่นจึงต้องบีบขึ้น เมื่อไม่ถ่ายตอนเช้า ลำไส้ใหญ่จึงรวน ดูอย่างไรว่าลำไส้รวน จะมีอาการปวดหัวไหล่ กล้ามเนื้อเพดานจะหย่อนแล้วทำให้นอนกรนในที่สุด ในรายที่ลำไส้ใหญ่ผิดปกติ ควรตื่นนอนก่อนตีห้าแล้วไปขับถ่าย ถ้าไม่ถ่ายให้ดื่มน้ำอุ่น 2 แก้ว ถ้ายังไม่ถ่ายอีก ให้ดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาวและกดจุดข้างจมูกช่วย คนที่ขับถ่ายยากต้องกินอาหารเช้า
บางคนไม่กินอาหารเช้า ดื่มกาแฟเพียงแก้วเดียวก็อิ่ม ร่างกายจะดูดกากอาหารตกค้าง ซึ่งกำลังจะเป็นอุจจาระกลับเข้ากระเพาะใหม่ เท่ากับ “ กินกาแฟแกล้มอุจจาระ ”
ช่วงเจ็ดโมงถึงเก้าโมงเช้า กระเพาะอาหารจะทำงานเต็มที่ช่วงนี้ ถ้าเราไม่ทานอาหารเช้า อุจจาระจะถูกดูดกลับมาที่กระเพาะ กลิ่นตัวจะเหม็น ถ้าเราขับถ่ายออกหมดเกลี้ยงเกลา จะไม่มีกลิ่นตัวเท่าไหร่ อย่างน้อยขอให้มี โยเกิร์ต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว ก็จะได้สารอาหารเพียงพอในมื้อเช้าแล้ว สูตรนี้ได้มาจากพระไตรปิฎก บำรุงกระเพาะ สมองดี
วิธีการดูแลแผลในกระเพาะอาหารเนื่องจากมีกรดมาก ใช้ขมิ้นชันเท่านิ้วก้อย 3 แง่ง ต้องขูดเปลือกออกก่อนเพราะในเปลือกมี สารสเตียรอยด์สติกนิน ( สารนี้สะสมมากอาจเป็นอันตรายได้ ) นำมาหั่นเป็นแว่น ๆ ใส่ถ้วย เติมน้ำร้อนลงไป 3 ช้อนชา แต่ตักดื่มเพียง 2 ช้อน ที่เหลือทิ้งไป เป็นการรักษาแผลตามหลอดอาหารได้ดีมาก
ผู้เป็นแผลในหลอดอาหารมักไม่ค่อยรู้ตัว จะมีเสมหะบ่อย กินอาหารแล้วร้อนที่คอ ส่วนใหญ่เมื่อกินยาเข้าไปรักษา ยาจะเลยหลอดอาหารไปลงกระเพาะหมด ลองใช้สูตรนี้คือ กล้วยหอมหรือกล้วยน้ำว้าดิบประมาณ 2 ผล ใช้ทั้งเปลือกตัดจุกตัดก้าน หั่นเป็นแว่น ๆ นำไปต้มในหม้อ ใส่น้ำพอท่วม เติมน้ำตานกรวด กินเป็นประจำ ส่วนกล้วยหอมสุกกินทุกวันตอนเย็นสองลูก จะทำให้หัวริดสีดวงฝ่อหรือต้มกล้วยหอมสุกทั้งเนื้อและเปลือก ใส่น้ำตาลกรวด กินทั้งเนื้อและเปลือกก็จะดีมาก
ช่วงเก้าโมงเช้าถึงสิบเอ็ดโมง ม้ามจะทำงานหนัก ให้พูดน้อยกินน้อย ไม่นอนหลับ
ช่วงสิบเอ็ดโมงถึงบ่าย เป็นช่วงของระบบหัวใจ หมายถึงกล้ามเนื้อหัวใจ คนที่มีปัญหาเรื่องนี้ ดูที่อาการปวดไหล่ ไม่ได้แสดงอาการที่หน้าอกอย่างที่เข้าใจกัน กล้วย ส้ม มะเขือ เตย รากบัว บำรุงหัวใจ ( เม็ดบัวบำรุงตับ ไต )
ช่วงบ่ายถึงสามโมงเย็น เป็นช่วงลำไส้เล็ก ซึ่งเรื่องนี้สำคัญมากในยุคสมัยนี้เพราะว่าเป็นต้นเหตุของไข้หวัดหนู นก และเป็นตัวฆ่านักมังสวิรัติ ลำไส้เล็กขดไปมาในร่างกายผู้ชาย 30 ฟุต ผู้หญิงจะมากกว่าชายอีก 10 ฟุต การที่ไส้ขดไปขดมา เมื่อกินอาหารเข้าไป ส่วนที่ย่อยไม่หมดจะไปเน่าเสียตกค้างอยู่ตรงส่วนที่หักมุมของลำไส้ เศษผักไม่เท่าไหร่ ที่เป็นปัญหาคือทุกวันนี้ใช้น้ำมันผัดผักเพราะเร็วดี ถ้าเป็นน้ำมันธรรมชาติล้วน ๆ เช่น น้ำมันมะกอก จะไม่เป็นปัญหาต่อลำไส้เล็ก แต่น้ำมันที่ซื้อขายทั่
วไปมักมีส่วนผสมของน้ำมันปาล์ม แม้จะบอกว่าเป็นถั่วเหลือง หรือเมล็ดทานตะวันก็ตาม ลองเปรียบเทียบการทำความสะอาดครัวสมัยนี้ต้องใช้น้ำยาเคมีเพื่อล้างคราบ น้ำมันเหนียวเหนอะออกไป
น้ำมันปาล์มเมื่อโดนความร้อนจะทำให้เหนียวหนืด เวลาโฆษณามักบอกว่าไม่เป็นไข เมื่อนำไปแช่ตู้เย็น แต่ในร่างกายคนเรามีอุณหภูมิ 37 องศา เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะไปเกาะที่ลำไส้ เวลาดื่มน้ำ น้ำก็ไม่สามารถทะลุผ่าน ทำให้ต้องฉี่บ่อยๆ บางคนดื่มน้ำไปไม่ถึงสิบนาทีก็ต้องลุกไปฉี่ เพราะไตทำงานหนัก เมื่อเป็นอย่างนี้ทุกวันจะทำให้กระดูกเสื่อม เพราะไตเป็นตัวควบคุมกระดูกและสมอง และเลือดไปเลี้ยงสมองก็น้อย เกิดปัญหาสมองเสื่อมตามมาอีก น้ำไม่เข้าร่างกาย แต่ที่สิ่งผ่านเข้าไปได้คือวิตามินเอ อี ดี แต่วิตามินซี โปรตีน กรดอะมิโน ไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ จึงโละไปให้ไต ไตต้องทำงานหนักเพราะต้องขับโปรตีนออกมา เพราะฉะนั้น คนที่เป็นโรคไตเวลาตรวจปัสสาวะจะพบโปรตีน เพราะโปรตีนไม่สามารถดูดซึมเข้าร่างกายได้ ต้องมีสี่ตัวหาม สามตัวแห่ คือ วิตามินซี บี1 บี3 บี6 และบี11 เข้าไปเป็นชุดของมัน จะขาดตัวหนึ่งตัวใดไม่ได้ ต้องมาพร้อมกัน ที่ไตทำงานหนักก็เพราะเหตุนี้
เมื่อมีปัญหาที่ไต น้ำไม่อาจผ่านเข้าไปได้ สิ่งที่ตามมาคือ ถึงน้ำดีข้น ถุงน้ำดีจะเก็บน้ำดีจากตับแล้วมาย่อยไขมัน ถึงน้ำดีจะแห้งไปทุกวันเพราะน้ำไม่เข้าตัว เราจะตื่นนอนหรือนอนไม่หลับในช่วงห้าทุ่มถึงตีสาม ไปหลับอีกทีในช่วงเช้ามืด ซึ่งเป็นเวลาที่ควรตื่นนอนแล้ว เพราะว่าช่วงนี้มันง่วงก็หลับเช้ามืดอีกเพราะฉะนั้นช่วงนี้ถึงน้ำดีจะข้น ซึ่งเป็นต้นเหตุของไมเกรน ถ้าแพทย์แผนปัจจุบันต้องรอให้ปวดหัวเสียก่อน แต่แพทย์แผนโบราณจะตัดสินว่าเป็นไมเกรนได้ ตั้งแต่เริ่มมีอาการคอแห้ง ร้อนใน ปวดตามซี่โครง ปวดขา ด้านข้าง เสียวฟัน ปลานประสาทฟันดูเหมือนจะอักเสบตลอดเวลา ไปหาหมอจะถอนให้ปวดกระบอกตา ปวดหู หมอจะบอกว่าน้ำในหูไม่เท่ากัน แต่ต้นเหตุจริง ๆ มาจากถุงน้ำดีข้น ซึ่งเป็นเรื่องของเหตุตาม ๆ กันมาที่ทำให้ปวดหัวข้างเดียวหรือสองข้าง เลือดเลี้ยวสมองส่วนหน้าไม่พอ จะมีปัญหาสายตาตามมา ตาจะเป็นต้องง่าย จมูกจะเป็นไซนัสง่าย เป็นภูมิแพ้ง่าย นี่คือผลพวงมาจากลำไส้เล็กไม่สะอาดทั้งสิ้น
Detox วิธี DETOX ลำไส้เล็กตามธรรมชาติ เอาสูตรมาจากพระไตรปิฏก คือสูตร โยเกิร์ต+นมสด+น้ำผึ้ง+น้ำมะนาว กินเข้าไปจะล้างลำไส้ได้ แลคโตบาซิลัสในโยเกิร์ตจะไปช่วยไขมันที่อยู่ในลำไส้ไปย่อยขยะในลำไส้ด้วย เปลี่ยนเป็นวิตามิน บี12 ให้เรา สูตรนี้กินตอนเช้าลดความอ้วน กินตอนเย็นเพิ่มความอ้วนฝึกดื่มน้ำตามมาก ๆ เป็นวิธีแก้
ถ้ามีผลต่อเนื่องที่เกิดจากไขมันเกาะในลำไส้เล็ก เช่น เป็นโรคไตเกิดขึ้นการที่ผมเปลี่ยนสีเป็นสัญลักษณ์ของอาการไตเริ่มเสื่อม
ไตสองข้างเสื่อมจะมีอาการไม่เหมือนกัน ถ้าไตซ้ายเสื่อท่านจะขี้ร้อน และไม่ใส่ใจตนเองไม่ค่อยดูแลตัวเอง เป็นอะไรก็ปล่อยปละละเลย ปล่อยตัวแต่ไม่ปล่อยวางไม่กตัญญูต่อแผ่นดินที่ให้ร่างกายนี้มา ร่างกายเราเป็นแผ่นดินของจิตวิญญาณ
ถ้าไตขวาเสื่อมจะขี้หนาว ความจำลดลง ไม่ต้องรอให้หมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคไต ถ้าเริ่มมีสัญญานก็จัดการตัวเองเลย เห็ดหูหนูดำเป็นตัวดูแลไตที่ดี บางสำนักอาจตีความ เห็ดชนิดนี้ไว้ไม่ดีว่า อาจเป็นพิษหรืออะไร ที่จริงเห็ดเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีกว่าถั่วเหลือง เต้าหู้
นักมังสวิรัติบางคนถูกครอบงำด้วยสารพิษในลูกชิ้นเทียม อาหารจากธรรมชาติที่ดีที่สุด เห็ดหูหนูบำรุงไต เห็ดหูหนูขาวบำรุงปอด ถ้าเอาเห็ดสามอย่างมาปรุงอาหารรวมกัน จะเกิดความมหัศจรรย์ขึ้น สามารถล้างพิษในตับได้ ผมเป็นนักธรรมชาติบำบัดมาหลายปี มีประสบการณ์ในการรักษาคนไข้โรคมะเร็ง มีประสบการณ์ในการกินเห็ดสามชนิด ทำให้หายดีขึ้น
เห็ดสามชนิด คือเห็ดอะไรก็ได้ที่กินได้ จะแกงส้งกินก็ได้ ทั้งสามตัวนี้สามารถช่วยรักษาตับ ซีสต์ เนื้องอก มะเร็ง มีการค้นพบว่า คนเป็นเนื้องอกใหญ่ในมดลูกช่องท้อง หลังจากกินเห็ดสามอย่างเป็นประจำ พวกซีสต์เนื้องอกจะลดลง มีกลุ่มที่ รพ.นวนคร ป่วยเป็นซีสต์ในมดลูก เขาเอาเห็ดสามอย่างมาทำแกงเลียง แกงส้ม ต้มยำ หรือของหวานได้ทั้งนั้น หรือจะทำน้ำดื่มใส่มะตูมใบเตย เครื่องดื่มนี้ถ้าทานเป็นประจำจะล้างสารพิษในร่างกายออกได้ดี อาจจะต้มใส่กา ห่วยซัว ใส่หม้อต้มกับสาหร่ายทะเล ไม่ต้องปรุงอะไรอร่อยพอดี เป็นซุบทานประจำก็ได้
เรื่องไต ตัวที่บำรุงไตดีที่สุดคือกระชาย ไม่ถึงขนาดต้องใช้กระชายดำเพราะราคาแพง เอาแต่กระชายเหลืองธรรมดา 1 กก. ใส่น้ำเยอะ ๆ ปั่นผสมกับโหระพา รินเอาแต่น้ำใส ทำมาก ๆ แล้วเก็บใส่ตู้เย็น ไม่ต้องต้มเพราะมันฆ่าเชื้อด้วยตัวเอง ผสมน้ำผึ้ง น้ำมะนาว ดื่มบำรุงสมอง บำรุงกระดูก เลือดเลี้ยงสมองไม่ดี ความจำเสื่อม นอนไม่ค่อยหลับ จะช่วยได้ แล้วผมจะกลับมาดกดำอีก ( ผมอายุ 50 ปี สมัยก่อนหัวล้าน ผมร่วง หงอกด้วย พอได้น้ำกระชายก็กลับมาดำใหม่ ไม่ต้องย้อมเลย )
โคเรสเตอรอล แพทย์ตะวันตกไม่ให้ความสำคัญกับเยื่อหุ้มหัวใจ มันมีผลต่อการทำให้โคเรสเตอรอลสูง มีผลทำให้ลิ้นหัวใจรั่ว เส้นเลือดตีบในสมองหรือคนที่เป็นเส้นเลือดขอด ให้ใช้กระเจี๊ยบแดงต้มกับพุทราไทยหรือจีนก็ได้ เติมน้ำตาบกรวดเล็กน้อย เอาไว้ล้างไขมันในเลือด ในรายที่เส้นโลหิตในสมองตีบก็สามารถ ขจัดออกไปได้เร็ว ๆ นี้ คนป่วยด้วยโลหิตในสมองตีบ ก็แนะนำให้ต้มกระเจี๊ยบกับพุทราจีนกิน เขาก็หายได้ เป็นเรื่องง่าย ๆ แต่ช่วยได้เยอะ
ในร่างกายที่ไม่ค่อยสร้างเม็ดเลือด มีเม็ดเลือดน้อย หรือเป็นลมหน้ามืดบ่อยการใช้สับปะรดกับโหระพาจะช่วยเพิ่มเม็ดเลือดได้ดี เด็กที่เลือดน้อย ลองทำให้กินในรายที่ทานมังสวิรัติ แล้วคิดว่าขาดโปรตีนอย่ากังวล เพียงปั่นสับปะรดกับใบโประพาให้ดื่ม ก็สามารถเพิ่มเม็ดเลือดได้เป็นการสร้างโปรตีนให้แก่ร่างกายด้วยวิธีง่าย ๆ แม้พืชผักในธรรมชาติก็มีแหล่งโปรตีน และกรดอะมิโนอยู่ในตัวของเพียงให้รู้จักวิธีนำมาใช้
ที่มา / https://thanakamon14.wordpress.com/category/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1/